fbpx
หลักการทำงาน โบทูลินั่ม ท็อกซิน (Botulinum toxin) หรือ โบท็อก

หลักการทำงาน โบทูลินั่ม ท็อกซิน (Botulinum toxin) หรือ โบท็อก

โปรตีนชนิดหนึ่งที่ผลิตจากแบคทีเรียที่มีชื่อว่า คลอสตริเดียม โบทูลินัม (Clostridium Botulinum) มีด้วยกันถึง 7 ชนิด (serotype) คือ Botulinum toxin type A – G และที่มีใช้ในวงการแพทย์ คือ สาร Botulinum toxin type A, B

โบทูลินั่ม ท็อกซิน (Botulinum toxin) ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท (Neurotoxin) โดยจะไปรบกวนการทำงานของระบบประสาททำให้ไม่สามารถหลั่งสารสื่อประสาทได้ จึงทำให้กล้ามเนื้อขาดการรับรู้การสั่งงานจากเซลล์ประสาท มีผลทำให้กล้ามเนื้อไม่สามารถหดตัวชั่วคราว โดยโบท็อกของแต่ละยี่ห้อแต่ละประเภทจะมีระยะเวลาการออกฤทธิ์และการเห็นผลไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับกรรมวิธีการทำตัวยาให้บริสุทธิ์, ชนิด protein complex, ขนาดของ molecule complex, ปริมาณของ neurotoxin, ประสิทธิภาพหรือความแรงของสารออกฤทธิ์, pH และฤทธิ์ทางชีวภาพ

ส่วนประกอบของ Botulinum toxin

  1. Progenitor toxin complex ของโบท็อก ประกอบด้วยส่วนหลัก ๆ ได้แก่
    • Non-toxicneurotoxin-associated proteins (NAPs) (750kDa) (หน่วยปกป้อง)
    • Neurotoxin (ตัวออกฤทธิ์)
      • Heavy chain (100kDa)
      • Light chain (50kDa)
  2. Excipient สารช่วยทางเภสัชกรรม เป็นส่วนประกอบสำคัญในการพัฒนาและผลิตยา (lactose, sucrose, gelatin, dextran or serum albumin [for stabilization], buffer systems [for pH calibration])
โบท็อก

รูปภาพจาก ncbi.nlm.nih.gov

กลไกการออกฤทธิ์ Botulinum toxin

เมื่อฉีด Botulinum toxin เข้าสู่ร่างกาย Neurotoxin (ตัวออกฤทธิ์) จะแยกตัวออกจาก Non-toxic neurotoxin-associated proteins (NAPs) โดย Heavy chain (100kDa) ทำหน้าที่จับกับ gangliosides and specific synaptic vesicle proteins ที่ neurotoxin membrane เพื่อนำ toxin เข้าสู่เซลล์เส้นประสาท จากนั้น Light chain (50kDa) ทำหน้าที่ตัด SNARE protein ทำให้ยับยั้งการหลั่งสารสื่อประสาท (Acetylcholine) จึงทำให้กล้ามเนื้อขาดการรับรู้การสั่งงานจากเซลล์ประสาท มีผลทำให้กล้ามเนื้อไม่สามารถหดตัวชั่วคราว

ฉีดโบท็อก

อ้างอิงจาก Sci-news.com

โบทูลินั่ม ท็อกซิน (Botulinum toxin) ได้รับการรับรองความปลอดภัยจากองค์การอาหารและยา และมีการใช้อย่างแพร่หลายทั่วโลกเป็นเวลาหลายกว่าสิบปี จึงมั่นใจได้ในเรื่องของความปลอดภัย สลายไปเอง 100% ตามระยะเวลาของโบท็อกยี่ห้อนั้นๆ

โบทูลินั่ม ท็อกซิน (Botulinum toxin) จัดเป็นยาควบคุมพิเศษดังนั้นจะต้องมีการขั้นตอนผลิต การขนส่ง และการเก็บรักษาที่ได้มาตรฐานถูกต้อง ที่สำคัญต้องใช้และบริหารยาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ไม่อย่างนั้นอาจเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ต่อคนไข้ได้

“หลักการกำจัดขนด้วยเลเซอร์”

“หลักการกำจัดขนด้วยเลเซอร์”

การกำจัดขนแบบถาวร ปัจจุบันวิธีการกำจัดขนแบบถาวรที่นิยมและได้ผลดีมาก มี 2 วิธีคือ

  • การจี้ไฟฟ้า หรือ จี้ด้วยคลื่นวิทยุ
    1. ขั้นตอนการทำโดยแพทย์จะใช้เข็มเล็ก ๆ สอดเข้าไปที่รูขุมขน ใช้ปฏิกิริยาทางเคมีหรือความร้อน หรือผสมผสานทั้ง 2 วิธีเข้าด้วยกันเพื่อทำลายรากขนโดยเฉพาะ
    2. สามารถกำจัดขนได้ถึงรากขนแบบถาวร 100% แต่ต้องทำจำนวนครั้งมากพอ จำนวนจะมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับปริมาณขนของแต่ละคน
  • การใช้เลเซอร์ (IPL / Diode laser / Long pulse ND YAG laser)
    1. โดยแสงเลเซอร์จะไปจับกับเม็ดสี (pigment) ของขนในระยะที่ขนกำลังเจริญเติบโตยาวออกมาเรื่อย ๆ
    2. เลเซอร์สามารถกำจัดขนถาวรได้ประมาณ 2030% ในการทำแต่ละครั้ง ต้องทำซ้ำ 58 ครั้ง กำจัดได้ประมาณ 6080 %
    3. ผลลัพธ์กำจัดขนได้เปอร์เซ็นต์มากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของรากขนของแต่ละบุคคล
    4. ขนที่เหลือเส้นจะเล็กลง บางลง สีจางลง และการงอกขึ้นมาใหม่จะช้าลง

แสงและเลเซอร์กำจัดขนมีหลายชนิด มีความแตกต่างที่ตัวกลางในการผลิตแสง และความยาวคลื่นที่แตกต่างกัน ดังนี้

IPL:  การใช้คลื่นแสงที่มีความเข้มข้นสูงมีความยาวของคลื่นแสงตั้งแต่ 650 ถึง 1,200 นาโนเมตร สามารถปรับความยาวของคลื่น และระยะเวลาการปล่อยลำแสงที่พอเหมาะในการใช้งานโดยการใช้ฟิลเตอร์ คลื่นแสงที่ถูกปล่อยออกมาจะมีช่วงความยาวของคลื่นแสงที่กว้างกว่าเลเซอร์ ข้อควรระวังในคนสีผิวเข้มจึงดูดซึมแสงได้ดี อาจจะทำให้เกิดการ burn ผิวได้

Ruby laser: เลเซอร์ความยาวคลื่น 694 นาโนเมตร ส่งไปถึงระดับความลึกที่ผิวหนังชั้นในส่วนกลาง (Mid-Dermis) โดยมีเนื้อเยื่อเป้าหมายเป็นเมลานิน เหมาะสำหรับคนที่มีผิวขาวมาก จึงเป็นเลเซอร์ที่เหมาะกับชาวยุโรปมากกว่า

Alexandrite laser: เลเซอร์ความยาวคลื่น 755 นาโนเมตร เมตร ส่งไปถึงระดับความลึกที่ผิวหนังชั้นในส่วนลึก (Deep Dermis) โดยมีเนื้อเยื่อเป้าหมายเป็นเมลานินและฮีโมโกบิน เหมาะสำหรับคนที่มีผิวขาวไปจนถึงสีผิวน้ำผึ้ง

Diode laser: เลเซอร์ที่มีความยาวคลื่นที่หลากหลาย 755, 800-810, 940, 1,064-1,350 นาโนเมตร ซึ่ง โดยส่งไปถึงระดับความลึกที่ผิวหนังชั้นในส่วนลึก (Deep Dermis) มีเนื้อเยื่อเป้าหมายเป็นเมลานิน เหมาะสำหรับคนที่มีผิวขาวไปจนถึงผิวสีกลางๆ

Nd:YAG laser: ความยาวคลื่น 1064 นาโนเมตร ส่งไปถึงระดับความลึกที่ผิวชั้นในส่วนลึกและชั้นไขมัน โดยมีเนื้อเยื่อเป้าหมายเป็นเมลานิน เหมาะสำหรับคนที่มีผิวสีแทน หรือผิวสีเข้ม

กำจัดขน

รูปที่ 1 Depth of penetration of laser wavelength เครดิตรูปภาพ mylaser

หลักการทำงานของเลเซอร์

ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการกำจัดขนนั้น ได้แก่ ความยาวคลื่นแสง (wavelength), พลังงาน (fluence), ช่วงเวลาปล่อยแสง (pulse duration) และ ขนาดลำแสง (spot size) สีผิว สีของเส้นขน และปริมาณของเส้นขนในบริเวณที่ทำ 

เป้าหมายของการยิงเลเซอร์คือ การทำลายต่อมรากขน (hair follicle) โดยใช้หลักการ Selective Photothemolysis เมลานินในเส้นขนจะเป็นตัวดูดแสงหลัก (chromophore) แล้วกระจายความร้อนไปยังต่อมรากขน ทำลายเซลล์รากขน หากการทำลายต่อมรากขนเป็นไปอย่างสมบูรณ์ก็จะไม่มีเส้นขนงอกกลับขึ้นมาใหม่อีก

ข้อระวังในกลุ่มผิวสีเข้มซึ่งมีเม็ดสีเมลานินหนาแน่นในชั้นหนังกำพร้า ทำให้มีการดูดแสงที่ชั้นหนังกำพร้าสูงขึ้น แสงทะลุลงมาถึงรากขนน้อย ส่งผลให้ทำลายต่อรากขนได้น้อยลงและยังอาจส่งผลให้ผิวไหม้ได้อีกด้วย

กำจัดขนรักแร้

รูปที่ 2 ค่าสัมประสิทธิ์การดูดซึมเมลานิน (Hair Reduction with Lasers | Plastic Surgery Key, 2016)

เนื่องจากเส้นขนในแต่ละบริเวณอยู่ในระยะที่แตกต่างกัน จึงมีอายุไม่เท่ากัน ซึ่งมีทั้งหมดด้วยกัน 3 ระยะ (รูปที่ 3) ได้แก่ ระยะเติบโต (anagen) , ระยะเสื่อมสภาพ (catagen) และ ระยะพัก (telogen)

  1. ระยะงอก (Anagen) เป็นระยะที่ hair follicle จะอยู่ลึกที่สุดใน dermis (ประมาณ 0.5 ซม.) เป็นระยะที่เส้นผมเจริญเติบโตมี มีเส้นเลือดมาเลี้ยง มีลักษณะเป็นกระเปาะซึ่งประกอบด้วยเซลล์เม็ดสี และมีรากที่พร้อมจะสร้างขนใหม่ เส้นผมจะมีสีเข้ม มีเส้นเลือดมาเลี้ยงมาก และ inner root sheath จะหนาที่สุด ช่วงนี้มีระยะเวลาประมาณ 38 ปี พบร้อยละ 85 90% ของเส้นผมทั้งศีรษะ
  2. ระยะหยุดงอก (Catagen) เซลล์รากผมจะหยุดทำงานในการสร้างเส้นขน/ผม กินระยะเวลาประมาณ 3 สัปดาห์
  3. ระยะหลุดร่วง (Telogen) เส้นผมจะหลุดร่วงไป ระยะนี้กินเวลาประมาณ 3 เดือน แล้วจะเริ่มเข้าสู่ระยะงอกใหม่อีกครั้ง

โดยเฉลี่ยคนเราจะมีผม ขน หนังศีรษะ 100,000 เส้น อัตราส่วนของผมในระยะ Anagen: Telogen เท่ากับ 9: 1 ผมจะร่วงโดยเฉลี่ยวันละ 100 เส้น

ระยะของขนที่เหมาะต่อการกำจัดด้วยเลเซอร์ จะเป็นเส้นขนในระยะเติบโต (anagen phase)

กำจัดขนหน้าแข้ง

รูปที่ 3 แสดงวงจรชีวิตของเส้นขน 3 ระยะ รูปภาพจาก Joycemaschat

โดยแต่ละบริเวณของร่างกายจะมีปริมาณขนในระยะต่าง ๆ กัน และอัตรางอกที่แตกต่างกัน ดังตารางที่ 1 ความยาวของเส้นผมจะถูกกำหนดโดยพันธุกรรม ระยะเวลาของ Anagen และอัตรางอกของเส้นผม ส่วนขนาดของเส้นผม จะแปรผันตรงกับขนาดของ Dermal Papilla

กำจัดหนวด

ตารางที่ 1 Hair Growth – Average values รูปจาก Lasermarket

Yellow 585 Laser

Yellow 585 Laser

เลเซอร์แสงสีเหลือง ความยาวคลื่น 585 nm. ด้วย D-wmopsTM (Differential-Wavelength Modified Optically Pumped Semi-conductor) technology เป็น solid-state laser จากประเทศอิตาลี

หลักการ Yellow 585 Laser

แสงเหลืองสามารถถูกดูดซับได้ดีใน Oxyhaemoglobin เมื่อถูกกระตุ้นโดยแสงจะทำให้ photo-coagulated vessels ก่อให้เกิดความร้อนขึ้นจนยับยั้งหรือชะลอการลุกลามของเส้นเลือดที่ผิดปกติ เหมาะสำหรับรักษาเส้นเลือด ฝ้าเลือด รอยแดงสิว โดยไม่ทำให้ผิวด้านบนเสียหาย

แสงเหลืองยังถูกดูดซับได้ดีใน coproporphyrin เมื่อถูกกระตุ้นโดยแสงจะทำให้เกิดกระบวนการสร้าง reactive oxygen species (ROS) ทำให้ ลดจำนวนเชื้อ P.acnes ลดปริมาณสิวอุดตันและสิวอักเสบด้วย

อีกทั้งยังสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ของผิว ทำให้รูขุมขนกระชับ ลดริ้วรอยตื้นๆ

และมีงานวิจัยว่าเลเซอร์แสงสีเหลืองสามารถรักษาฝ้า โดยพบว่าหลังการรักษาด้วยเลเซอร์พบว่าปริมาณ VEGF (Vascular endothelial growth factor) ลดลง ทำให้ลดการสร้าง/เพิ่มขึ้นของเส้นเลือดใหม่ (การกระตุ้นกระบวนการสร้าง/เพิ่มขึ้นของเส้นเลือด (angiogenesis) ส่งผลให้เกิดการกระตุ้นการทำงานเซลล์ที่สร้างเม็ดสี (melanocyte) ให้สร้างเม็ดสีเพิ่มขึ้น เป็นกลไกหนึ่งในการเกิดฝ้านั่นเอง)

 

คลินิคดูแลหน้า

รูปภาพจาก wohmedical.com

รักษาสิว

รูปจาก norseld.com

Yellow 585 Laser มีหัวยิงขนาด 0.5, 1.0, 1.5, 3.0 มิลลิเมตร ความแตกต่างกันตามปัญหาผิว และหัวยิง Optiscan Scanner equipped with an air-cooling system adaptor ที่สามารถคำนวณพื้นที่การรักษาและยิงเลเซอร์ไปสู่เป้าหมายได้อัตโนมัติ ครอบคลุมพื้นที่รักษาได้ถึง 1.8 cm2 สามารถทำการรักษาได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ เพื่อผลลัพท์สูงสุด และลดผลข้างเคียง

เลเซอร์สิว

รูปภาพจาก quantasystem.com

Yellow 585 laser เป็นเลเซอร์ที่สามารถทำได้กับทุกสภาพสีผิว มีความอ่อนโยนและปลอดภัยต่อสภาพผิว ไม่ทำลายผิวด้านบน

Yellow 585 laser เหมาะสำหรับ

  • ผู้ที่มีปัญหารอยแดงและรอยเส้นเลือด เช่น เลือดฝอยขยายบนใบหน้า ไฝแดง ปานแดง ผิวหน้าแดงง่าย รอยแดงจากแผลเป็นและแผลผ่าตัด รอยฟกช้ำ
  • ผู้ที่มีสิวอักเสบ รอยแดงสิว
  • ผู้ที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำ ผิวที่ไม่สม่ำเสมอ ฝ้า กระ จุดด่างดำ ชนิดตื้น
  • ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูสภาพผิว ผิวหน้าสว่างใส เรียบเนียน กระชับรูขุมขน

ผลลัพธ์ที่ได้หลังทำ Yellow 585 Laser

  • สามารถเริ่มสังเกตเห็นผลการรักษาได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่รักษา
  • ผลลัพธ์ชัดเจนหลังทำต่อเนื่องประมาณ 4 5 ครั้ง
  • ผลการรักษา มีความแตกต่างกันตามสภาพผิวบริเวณที่เกิดปัญหา ภูมิคุ้มกันของร่างกาย ความรุนแรงของปัญหา รวมถึงการดูแลตนเองหลังเข้ารับการรักษา
  • ไม่เกิดบาดแผล ไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

ระยะเวลาและความถี่ในการทำ Yellow 585 Laser

  • ใช้ระยะเวลาในการรักษาประมาณ 1530 นาที (ขึ้นอยู่กับจำนวนช็อตที่ใช้)
  • เว้นระยะห่าง 2 สัปดาห์ ต่อ 1 ครั้ง ต่อเนื่อง 4-5 ครั้ง

เตรียมตัวก่อนทำ Yellow 585 Laser

  • หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดด: ก่อนทำเลเซอร์ผิวหนังควรเลี่ยงออกแดดในตอนที่แดดแรง และใช้ครีมกันแดดเมื่อต้องออกแดดเสมอ เนื่องจากการออกแดดและโดนแดดแรงในระยะ 1 เดือนก่อนทำเลเซอร์นั้น อาจทำให้บริเวณผิวหนังที่ทำเลเซอร์เปลี่ยนสีและไม่สม่ำเสมอ
  • งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่: เนื่องจากจะทำให้ฟื้นตัวช้า
  • งดการทาครีมหรือยาที่มีส่วนผสมของสารผลัดเซลล์ผิว เช่น AHA, BHA, วิตามิน A หรือกรดผลไม้ต่าง ๆ
  • ผู้ที่มีภาวะเซ็บเดิร์ม (Seborrheic Dermatitis) ควรเพิ่มความชุ่มชื้นด้วยการบำรุงผิวให้มาก เพื่อป้องกันผิวแห้งแตกไปมากกว่าเดิม
  • หากมีโรคประจำตัว หรือมีประวัติการแพ้ยาต่างๆ หรือผ่านการหัตถการอื่นมาก่อนหน้านี้ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนการทำเลเซอร์

ขั้นตอนการทำ Yellow 585 Laser

Yellow 585 laser มีความปลอดภัย ไม่รุนแรง ไม่ต้องทายาชาก่อน

  • ทำความสะอาดผิวหน้า
  • ระหว่างการรักษา กรณีรักษาเส้นเลือดขยายจะรู้สึกเหมือนเข็มแตะที่ผิวเบาๆ ส่วนกรณีฟื้นฟูผิวจะรู้สึกอุ่นสบายผิว
  • เมื่อทำจนทั่วบริเวณแล้ว ทาเจลว่านหางจระเข้และครีม หรือประคบผิวด้วยความเย็นเพื่อเป็นการลดการอักเสบและระคายเคืองจากเลเซอร์

การดูแลหลังทำ Yellow 585 Laser

  1. หลังการรักษาอาจรู้สึกอุ่นและแดงที่ผิวเล็กน้อย ซึ่งจะค่อยๆ หายไปใน 1-2 ชั่วโมง
  2. หากมีอาการแสบร้อนที่ผิวควรประคบผิวด้วยความเย็นจนอาการดีขึ้นก่อน
  3. หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง ครีมที่มีผลลอกผิว หรือการใช้ scrub ขัดผิวหน้า อย่างน้อย 2-3 วัน และใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับหลังเข้ารับการรักษา
  4. หลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดแรงๆ เป็นเวลานาน อย่างน้อย 2 สัปดาห์หลังทำ ควรทามอยเจอร์ไรเซอร์และครีมกันแดดที่มีค่า SPF อย่างน้อย 30 ขึ้นไปอย่างสม่ำเสมอ
  5. สามารถใช้หน้า แต่งหน้าได้ตามปกติในวันถัดไป ไม่จำเป็นต้องพักหน้า

ข้อห้ามในการทำ Yellow 585 Laser

  • บุคคลที่ผิดปกติในการรับความรู้สึกร้อนเย็น
  • บุคคลที่มีบาดแผลบนใบหน้าหรือแผลเปิด มีการติดเชื้อ เป็นเริมในบริเวณที่จะทําการรักษา
  • บุคคลที่มีโรคผิวหนังบางชนิดที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการรักษาบาดแผล และไวต่อแสง
  • กินยา gold sodium thiomalate หรือยาที่ทำให้ไวต่อแสง
  • ผู้ที่มีประวัติ ผิวไหม้แดดง่าย ทา suntan บริเวณที่จะทำ
  • ผู้ที่มีประวัติโรคชักที่ถูกกระตุ้นด้วยแสง
  • ผู้ที่มีประวัติโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง
  • ผู้ที่ตั้งครรภ์

ข้อควรระวังในการทำ Yellow 585 Laser ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำ

  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนการรักษา เพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
  • ผู้ที่สัมผัสแสงแดดแรงๆ เป็นเวลานาน ทำการลอกผิว มาในระยะเวลาไม่เกิน 2-4 สัปดาห์
  • ผู้ที่ทา tanning product บริเวณที่จะทำมาในระยะเวลาไม่เกิน 4 สัปดาห์

ผลข้างเคียงของการทำ Yellow 585 Laser

  • Erythema (ผื่นแดง): บริเวณที่ได้รับการรักษา ซึ่งอาการจะหายภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
  • Petechiae (จุดเลือดออก): บริเวณที่ได้รับการรักษา ซึ่งอาการจะหายภายใน 2-3 วัน
  • Pain (ความเจ็บปวด): อาการเหล่านี้จะดีขึ้น และหายภายใน 1 วัน
  • Burn (ผิวไหม้): อาการเหล่านี้จะดีขึ้น และหายภายใน 2-4 สัปดาห์
  • Hyperpigmentation (รอยดำ) / hypopigmentation (ด่างขาว): อาการเหล่านี้จะดีขึ้น และหายภายใน 2-4 สัปดาห์
Viora reaction

Viora reaction

นวัตกรรม ‘ยกกระชับผิว ลดเซลลูไลท์’

  • ⁠เทคโนโลยี CORE TM ใช้คลื่นวิทยุความถี่สูง (Channeling Optimized bipolar RF Energy) และระบบสูญกาศ (Vacuum)
  • ได้รับการรับรองจาก อย.ไทย และ U.S. FDA

CORE TM technology

ส่งผ่านคลื่นความถี่วิทยุที่มีความถี่ต่างกัน 3 ความถี่ ตั้งแต่ 0.82.45 MHz เพื่อให้ลงลึกสุ่ชั้นผิวที่แตกต่างกัน ส่งผลให้มีการสะสมความร้อนของผิวชั้นบนจนถึงผิวชั้นลึก (42-47 C)

Ultraformer 3

รูปภาพจาก Vioramed.com

ความถี่ 0.8 MHz ลงลึกประมาณ 7.2 mm

ความถี่ 1.7 MHz ลงลึกประมาณ 5.1 mm

ความถี่ 2.45 MHz ลงลึกประมาณ 3.9 mm

โดยความร้อนจาก RF ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้ผิวตึงกระชับขึ้น และเพิ่มการเผาผลาญไขมันใต้ผิว ทำให้เซลล์ไขมันลดขนาดลง

Vacuum therapy

ระบบสุญญากาศกระตุ้นการทำงานของระบบไหลเวียนเลือดและน้ำเหลืองใต้ผิวหนังบริเวณที่ทำการรักษา ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนออกซิเจน สารอาหารและของเสียของเซลล์ไขมันเพิ่มขึ้น

Viora reaction มี applicator ให้เลือก 3 ชนิด

  1. Bcontour / BC (RF+Vaccum) ใช้สำหรับสลายไขมัน ลดเซลลูไลท์ ลดสัดส่วนบริเวณต้นขา หน้าท้อง สะโพกและแขน
  2. Fcontour / FC (RF+Vaccum) ใช้สำหรับสลายไขมันบริเวณที่มีขนาดเล็กและไวต่อความรู้สึก (sensitive area) บริเวณ คาง ลำคอ ต้นแขน และต้นข้านใน
  3. Skin tightening / ST (RF) ใช้สำหรับผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ บริเวณใบหน้าและลำตัว มีระบบทำความเย็นที่หัว

ข้อดีของ Viora reaction

  • สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และ ยกกระชับผิวได้ในคราวเดียวกัน
  • สามารถลดเลือนริ้วรอยได้ดี เช่น รอยรอบดวงตา รอบขอบปาก ร่องแก้ม
  • สามารถควบคุมพลังงานได้ตรงตามปัญหาของแต่ละบุคคล
  • ไม่มีผลข้างเคียงทั้งระยะสั้นและระยะยาว
  • สามารถทำได้ทุกสีผิว
  • ผู้รับบริการจะได้รับความรู้สึกคล้ายถูกนวดและอุ่นๆ ที่ผิวหนัง
  • ไม่เกิดบาดแผล ไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

Viora reaction เหมาะสำหรับ

  • ผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวรอบดวงตา ผิวหน้า แขน ขา และลำตัว
  • ลดไขมันส่วนเกิน กระชับสัดส่วน
  • ลดปัญหาเซลลูไลท์
  • ลดเลือนริ้วรอยบริเวณใบหน้า
  • คนที่มีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ

ขั้นตอนการทำ Viora reaction

  • เช็ดเพื่อทำความสะอาดผิวในบริเวณดังกล่าว
  • ทาเจลเย็น (สำหรับ ST) หรือ กลีเซอลีน (สำหรับ FC หรือ BC)
  • ทำเลเซอร์บริเวณที่ต้องการ
    • สำหรับ ST หัวมีระบบทำความเย็นพร้อมกับการทำเลเซอร์ไปควบคู่กันป้องกันอาการเจ็บหรือรู้สึกแสบร้อน
    • สำหรับ FC หรือ BC หัวมีระบบดูดสุญญากาศ
  • เมื่อทำจนทั่วบริเวณแล้ว เช็ดเจลและทำความสะอาดผิว
  • ทาเจลว่านหางจระเข้และครีมเพื่อเป็นการลดการอักเสบและระคายเคืองจากเลเซอร์

ระยะเวลาและความถี่ในการทำ Viora reaction

  • ครั้งละ 1530 นาที ขึ้นกับบริเวณที่ทำ
  • Skin tightening แนะนำรักษา 24 สัปดาห์ครั้ง ติดต่อกัน 68 ครั้ง และ รักษาต่อเนื่องเพื่อคงผลการรักษาทุก 36 เดือน
  • Facial and body contour แนะนำรักษาสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ติดต่อกัน 68 ครั้ง และ รักษาต่อเนื่องเพื่อคงผลการรักษาทุก 13 เดือน

ผลลัพธ์ของการทำ Viora reaction

  • โดยผลลัพธ์หลังทำครั้งแรกจะสังเกตได้ว่าผิวกระชับขึ้น ริ้วรอยตื้นขึ้น เซลลูไลท์ลดลง
  • ผลการรักษาจะเริ่มเห็นผลชัดเจน เมื่อทำการรักษาอย่างต่อเนื่อง ประมาณ 34 ครั้ง ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล
  • ไม่เกิดบาดแผล ไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

การดูแลหลังทำ Viora reaction

  • ทาครีมบำรุงผิวเพิ่มขึ้น เนื่องจากความร้อนจากการรักษาทำให้ผิวแห้งขึ้น
  • ดื่มน้ำวันละ 810 แก้ว เพื่อช่วยในการขับของเสีย

ข้อห้ามในการทำ Viora reaction

  • ตั้งครรภ์ ให้นมบุตร อันนี้ห้ามเป็นสากล ทำได้หลังคลอด 3 เดือน
  • ประวัติ ผิวไหม้แดดง่าย ทา suntan บริเวณที่จะทำ
  • กินยา gold sodium thiomalate รักษา โรคข้อ หรือยาที่ทำให้ไวต่อแสง
  • มีโรคทางผิวหนัง เช่น มะเร็งผิวหนัง สะเก็ดเงิน ผื่นผิวหนังอักเสบ เริม หรือ แผลเปิด หรือแผลเป็น keloid บริเวณที่ทำ
  • ผู้ป่วยที่มีโลหะฝังอยู่ในบริเวณตำแหน่งที่จะทำการรักษา
  • ผู้ป่วยที่ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ
  • ผู้ที่มีประวัติการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ เลือดออกง่ายหรือ ผิวลอกง่าย
  • ผู้ที่มีประวัติของโรคที่สามารถถูกกระตุ้นอาการได้ด้วยความร้อน ได้แก่ SLE

ผลข้างเคียงของการทำ Viora reaction

  • ผิวอักเสบ แดง ซึ่งอาการมักหายไปภายใน 12 ชั่วโมง
Filler

Filler

ฟิลเลอร์ คือ สารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิค แอซิด Hyaluronic acid (HA) เป็นสารโพลีแซคคาไรด์ (Polysaccharide) หรือ น้ำตาลเชิงซ้อน สร้างขึ้นเลียนแบบสารที่มีอยู่ในร่างกายตามธรรมชาติ ใช้ทดแทนส่วนสำคัญของโครงสร้างผิว คอลลาเจนและไฮยาลูรอนที่ร่างกายจะสูญเสียไปเมื่ออายุมากขึ้น

เมื่อฉีดฟิลเลอร์เข้าใต้ผิวหนัง สาร Hyaluronic acid จะดูดซับน้ำจากเนื้อเยื่อบริเวณรอบๆ เเล้วขยายตัวขึ้น ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นชั้นใต้ผิว ในจุดที่ต้องการแก้ไข  ส่งผลให้ใบหน้าบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์เต็มขึ้น ริ้วรอยร่องลึกดูตื้นขึ้น ช่วยปรับสภาพผิว ทำให้รูขุมขนเล็กลง ผิวมีความยืดหยุ่น นุ่มนวลขึ้น นอกจากนี้ คุณสมบัติสำคัญของฟิลเลอร์ คือ มีความคงตัว จึงสามารถใช้ฉีดเสริมจมูก เสริมคาง

นอกจากนี้ HA จะถูกนำมาผ่านกระบวนการ Cross-Link เพื่อให้มีความคงทนมากขึ้น และอยู่ได้นานขึ้น โดยฟิลเลอร์ของแต่ละยี่ห้อแต่ละรุ่นจะมีระยะเวลาการออกฤทธิ์และการเห็นผลไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับกระบวนการ Cross-Link, ขนาดของ molecule และความเข้มข้น

สารเติมเต็มประเภท HA มีความปลอดภัย ลักษณะใกล้เคียงกับไฮยารูลอนิกแอซิดที่อยู่ในร่างกายของเรา เมื่อฉีดแล้วจึงสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ ด้วยเอนไซม์ Hyaluronidase ที่ร่างกายสร้างขึ้น โดยจะสลายไปเองเมื่อผ่านไป 6 เดือน-2 ปี ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีในการผลิต และตำแหน่งที่ฉีด 

ปัจจุบันมีฟิลเลอร์ที่ผ่านการรับรองในประเทศไทยมีหลากหลายยี่ห้อ หลากหลายรุ่นด้วยกัน ซึ่งแต่ละรุ่นมีคุณสมบัติแตกต่างกันไป ควรเลือกให้เหมาะกับปัญหาที่จะแก้ไข เพื่อความปลอดภัย และได้ผลลัพธ์ที่ดี

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

ฟิลเลอร์เหมาะสำหรับปัญหาดังต่อไปนี้

  • ริ้วรอยร่องลึก บริเวณต่างๆ ของใบหน้า เช่น หน้าผาก ขมับ ร่องใต้ตา แก้ม ร่องแก้ม ร่องลึกมุมปาก
  • แก้ไขปรับแต่งรูปหน้า เช่น ยกหน้า midface เติมริมฝีปาก จมูก คาง แนวกรอบหน้า
  • รูขุมขนกว้าง หลุมสิวบนใบหน้า
  • skin booster: เติมผิวชั้นตื้น เพิ่มความชุ่มชื่น ลดเลือนริ้วรอย ช่วยทำให้ผิวดูอิ่มน้ำ ผิวเรียบเนียนขึ้น

การเลือกใช้ตัวฟิลเลอร์นั้นจะต้องเลือกที่เหมาะสมกับบริเวณที่ต้องการแก้ไข ปริมาณที่ใช้จะขึ้นอยู่กับปัญหาที่ต้องการแก้ไข ความต้องการและความพึงพอใจในแต่ละราย โดยแพทย์จะประเมินการใช้ยาตามความเหมาะสมของแต่ละปัญหาแต่ละบุคคล

  • หน้าผาก แนะนำใช้ประมาณ 4-6 cc
  • ขมับ ถ้าขมับไม่ลึกมาก ใช้ 1 cc แบ่งเติม 2 ข้าง ถ้าขมับลึกมากแนะนำใช้ข้างละ 1 cc
  • ร่องใต้ตา ถ้าใต้ตาไม่ลึกมาก ใช้ 1 cc แบ่งเติม 2 ข้าง ถ้าใต้ตาลึกมากแนะนำใช้ข้างละ 1 cc
  • แก้มตอบ แนะนำใช้ข้างละ 1-2 cc
  • แก้มส้ม ถ้าหน้าแก้มไม่แบนมาก ใช้ 1 cc แบ่งเติม 2 ข้าง ถ้าหน้าแก้มแบนมากแนะนำใช้ข้างละ 1 cc
  • ร่องแก้ม ถ้าร่องแก้มไม่ลึกมาก ใช้ 1 cc แบ่งเติม 2 ข้าง ถ้าหากร่องแก้มลึกมากแนะนำใช้ข้างละ 1 cc
  • ร่องมุมปาก ถ้าร่องมุมปากไม่ลึกมาก แนะนำใช้ 1 cc แบ่งเติม 2 ข้าง ถ้าหากร่องมุมปากลึกมากแนะนำใช้ข้างละ 1 cc
  • ปาก ถ้าอยากได้ทรงมุมปากยก ปากดูอมยิ้ม เติมแค่ปากบน แนะนำใช้ 1 cc ถ้าหากอยากเติมทั้งปากบน-ล่าง เพิ่มวอลลุ่ม แนะนำให้เติม 2 cc
  • คาง แนะนำใช้ประมาณ 1-2 cc
  • จมูก แนะนำใช้ประมาณ 1-2 cc
  • ยกหน้า midface แนะนำใช้ประมาณ 1-2 cc

ผลลัพธ์ของการฉีด Filler

  • ผลลัพธ์จะสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงได้หลังทำทั้งนี้อาจจะต้องรอประมาณ 1 2 สัปดาห์ เพื่อให้ตัวฟิลเลอร์เซ็ตตัวเข้าที่และกลืนไปกับชั้นผิวได้ดีขึ้น
  • ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 6 เดือน – 2 ปี ขึ้นกับชนิดของฟิลเลอร์
  • ไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

การเตรียมตัวก่อนการฉีด Filler

  • เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน แพทย์มีความชำนาญ
  • ตรวจสอบ Filler ก่อนฉีดทุกครั้งเพื่อให้มั่นใจได้ว่าฉีดของแท้ได้มาตรฐาน
  • งดใช้ยากลุ่มกรดวิตามิน A, AHA, สครับหน้า, ขัดหน้า ก่อนฉีด 24 ชั่วโมง
  • งดแอลกอฮอล์ ก่อนฉีด 24 ชั่วโมง
  • งดใช้ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDS ได้แก่ Brufen, Naproxen, Motrin วิตามินที่ทำให้เลือดหยุดไหลได้ยาก เช่น วิตามินอี น้ำมันปลา สารสกัดจากโสม เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ เพื่อลดการเกิดรอยฟกช้ำ
  • ในรายที่รับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือดควรปรึกษาแพทย์ก่อน
  • หากเคยผ่าตัด เคยทำศัลยกรรมบนใบหน้า หรือเคยฉีดสารเติมเต็มใดๆมาก่อน ควรแจ้งให้แพทย์ทราบทุกครั้งก่อนฉีด Filler
  • หากมีโรคประจำตัว แพ้ยา แพ้อาหาร ประวัติของโรคเริมบริเวณฝีปาก ตั้งครรภ์ ให้นมบุตร ควรแจ้งให้แพทย์ทราบทุกครั้งก่อนฉีด Filler

ขั้นตอนการฉีด Filler

  • เช็ดเพื่อทำความสะอาดผิวในบริเวณที่รักษา
  • ทายาชาหรือประคบเย็นในบริเวณที่ต้องการรักษา เพื่อลดอาการเจ็บ
  • ทำการรักษาโดยการฉีดยาตำแหน่งที่ต้องการ
  • เมื่อทำการรักษาแล้ว ทำความสะอาดผิว

ระยะเวลาในการฉีด Filler

  • หากทายาชา ใช้เวลาประมาณ 45-60 นาที
  • หากประคบเย็น ใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที

การดูแลหลังฉีด Filler

  • งดการกด การนวดบริเวณที่ฉีด ยกเว้นกรณีที่แพทย์แนะนำให้ทำ
  • งดการทายาหรือเครื่องสำอางที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองเช่น กรดวิตามินเอ AHA วิตามินซีเป็นเวลา 24 ชั่วโมง หลังฉีด
  • หลีกเลี่ยงการใช้น้ำอุ่นล้างหน้า การอบไอน้ำ ทรีทเม้นท์ หรือเลเซอร์หลังฉีด 2 สัปดาห์
  • งดการดื่มแอลกอฮอล์หลังฉีด 1-2 สัปดาห์
  • งดการแต่งหน้าหลังฉีดภายในวันดังกล่าว
  • หลังฉีดสามารถล้างหน้า ทาครีมบำรุงได้ตามปกติ
  • สามารถใช้น้ำแข็งประคบในกรณีที่มีอาการบวมแดงหรือช้ำได้
  • สามารถทายาลดการเกิดจ้ำเขียวหรือรอยช้ำได้ ตามคำแนะนำของแพทย์
  • หากมีอาการปวดสามารถกินยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามองลได้
  • กลับมาพบแพทย์เมื่อมีข้อสงสัยหรือสิ่งผิดปกติใดๆ

ข้อห้ามในการฉีด Filler

  • หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
  • คนที่มีประวัติแพ้ฟิลเลอร์ หรือประวัติแพ้ยารุนแรง
  • บุคคลที่มีบาดแผลบนใบหน้าหรือแผลเปิด ผิวหนังอักเสบ มีการติดเชื้อในบริเวณที่จะทําการรักษา
  • บุคคลที่มีสิวที่รุนแรงหรือเรื้อรังบนใบหน้าหรือลำคอ
  • มีประวัติแผลเป็นนูน keloid ง่าย
  • ผู้ป่วยที่มีโรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันตัวเองบกพร่อง กินยากดภูมิ
  • ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของระบบหลอดเลือด หรือการแข็งตัวของเลือด
  • บุคคลที่มีโรคประจำตัว โรคหัวใจ, โรคเบาหวาน, โรคความดันโลหิต ที่ไม่สามารถควบคุมอาการได้
  • โรคผิวหนังบาง (e.g., chronic steroid use, genetic syndromes such as Ehlers-Danlos syndrome)
  • ในกรณีที่ได้รับการปลูกถ่ายผิวหนังหรือปลูกถ่ายไขมนัในบริเวณที่ทำการรักษาควรเว้นระยะอย่างน้อย 6 เดือน
  • บุคคลที่มีโรคผิวหนังบางชนิดที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการรักษาบาดแผล

ผลข้างเคียงในการฉีด Filler

  • Edema (บวม): บริเวณที่ได้รับการรักษา ซึ่งอาการจะหายภายใน 1 สัปดาห์
  • Erythema (ผื่นแดง): บริเวณที่ได้รับการรักษา ซึ่งอาการจะหายภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
  • Bruising (ช้ำ): การช้ำเล็กน้อยที่อาจเกิดได้จากความเสียหายที่เกิดบริเวณเนื้อเยื่ออ่อน หรือหลอดเลือด ซึ่งอาจเกิดขึ้น เป็นครั้งคราวและดีขึ้นภายใน 2 ~ 3 สัปดาห์
  • Tenderness (จุดเจ็บ): อาจจะมีจุดที่สัมผัสแล้วมีอาการเจ็บ อาการเหล่านี้จะหายภายใน 2 สัปดาห์
  • Visible or palpable filler bumpiness (ก้อนบวม, ก้อนนูน): ดีขึ้นหรือหาย ภายใน 2 สัปดาห์
  • Asymmetry, overcorrection, or undercorrection (ไม่สมมาตร): อาการเหล่านี้ดีขึ้น หากได้รับการฉีดปรับแก้ไข
  • Tyndall effect (รอยสีผิวม่วงคล้ำ): รักษาโดยการกดคลึง, ฉีดสลาย หรือ Q-switched 1064-nm laser
  • Migration (การเคลื่อนตัวของ filler): จากการนวดคลึงรุนแรงหลังฉีด
  • Pain (ความเจ็บปวด): อาการเหล่านี้จะดีขึ้นภายใน 2-3 วัน
  • Infection (การติดเชื้อในตำแหน่งที่ฉีด), Allergic hypersensitivity reactions (อาการแพ้)
  • Tissue necrosis (เนื้อเยื่อตาย): จากสารเติมเต็มอุดตันหลอดเลือด อาการจะเกิดขึ้นรวดเร็วหลังการฉีด รักษาโดยการช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดบริเวณนั้น นวดคลึง, ประคบอุ่น ทา nitroglycerine ointment, ฉีดสลาย