Nov 12, 2022 | การเสริมความงาม
ผิวแห้งกร้านเกิดจากอะไร
ปัจจัยภายนอก (External Cause)
สภาพอากาศและสิ่งแวดล้อม แสงแดด รังสียูวี
การดื่มน้ำไม่เพียงพอ อุณหภูมิ จะเกิดได้ง่ายในช่วงเวลาที่มีอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำ ความชื้นในอากาศน้อย ส่งผลทำให้เกิดผิวมีความแห้งได้ เช่น เวลาไปต่างประเทศอุณหภูมิติดลบ จะมีปัญหาผิวแตกแห้งง่าย หรือสาวๆ ที่นั่งทำงานอยู่แต่ในออฟฟิศ นั่งอยู่ในห้องแอร์นานๆ ก็ทำให้ผิวแตกได้เช่นกัน
การอาบน้ำด้วยน้ำร้อนจัด การใช้ผลิตภัณฑ์หรือสารทำความสะอาดผิวที่รุนแรงไปก็จะไปทำลายน้ำมันที่มีอยู่ตามธรรมชาติในชั้นผิว
ปัจจัยภายใน (Internal Cause)
– ปัจจัยภายในร่างกาย ได้แก่ ฮอร์โมน กรรมพันธุ์ อายุ โรคประจำตัว สุขภาพ เช่น หากมีประวัติเป็นผื่นแพ้ผิวหนังตั้งแต่เด็ก หรือคนที่มีภาวะการทำงานของฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำกว่าปกติ หรือเป็นโรคเบาหวานก็มักจะพบว่ามีผิวแตกง่าย
การดูแลอย่างนั้นเราจะดูแลอย่างไร
– พยายามหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้ผิวขาดความชุ่มชื่น เช่น การล้างหน้าหรืออาบน้ำร้อนจัด การใช้สบู่หรือสารทำความสะอาดที่รุนแรงเกินไป
– หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่หนาวจัด หรือร้อนจัดจนเกินไป
– หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางหรือสารที่อาจทำอันตรายต่อชั้นผิว
– ไม่ควรขัดผิวหน้าบ่อยจนเกินไป
– เติมความชุ่มชื้นเป็นพิเศษ โดยปกติเมื่ออายุเพิ่มขึ้น ผิวจะผลิตน้ำมันได้น้อยลง ทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้น จึงควรเตรียมความพร้อมรับมือปัญหาด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าที่มีมอยเจอร์ไรเซอร์เข้มข้น
– เลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ช่วยเต็มเติมความชุ่มชื้นอย่างสม่ำเสมอ โดยการเลือกครีมที่ใช้ ควรเป็นครีมที่เน้นให้ความชุ่มชื้น ไม่ผสมน้ำหอมหรือสารเคมีที่อาจทำให้ผิวมีการระคายเคือง เช่น Paraben, Alcohol เป็นต้น
– การดื่มน้ำสะอาดในปริมาณที่พอเหมาะก็จะช่วยบรรเทาปัญหาผิวแตกแห้งได้ด้วย
– บริโภคอาหารที่มีสารอาหารหลายชนิดซึ่งช่วยให้ผิวแข็งแรง ยกตัวอย่างเช่น วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี แร่ธาตุสังกะสี เป็นต้น
Cr.aquaplus
Nov 3, 2022 | การเสริมความงาม
ฉีดฟิลเลอร์อย่างไรให้ปลอดภัย
การฉีดฟิลเลอร์มีข้อจำกัดอะไรบ้าง
ข้อจำกัดของการฉีดฟิลเลอร์นั้นเหมือนกับการทำศัลยกรรม เช่น ต้องมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง มีวุฒิภาวะเพียงพอ สามารถปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ได้อย่างเคร่งครัด อย่างไรก็ตาม ฟิลเลอร์ย่อมไม่สามารถฉีดให้ได้ตามความต้องการของคนไข้ทุกคน หากแพทย์ประเมินแล้วว่าคนไข้นั้นมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังการฉีดได้
ภาวะใดบ้างไม่ควรฉีดฟิลเลอร์
- ผิวหนังที่ติดเชื้อหรือมีอาการอักเสบ เป็นลมพิษ โดยควรทำการรักษาอาการให้หายขาดก่อน
- ผู้ที่มีปัญหาเลือดออกมาก
- ผู้ที่มีอาการแพ้อย่างรุนแรง
- ผู้ที่มีอาการแพ้สารประเภทคอลลาเจน ไข่ หรือผลิตภัณฑ์จากสัตว์
ข้อควรปฏิบัติหลังฉีดฟิลเลอร์
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ห้ามนวด กด รวมถึงการสัมผัสแรงๆในบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์
เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์ที่ฉีดเข้าไปเคลื่อนที่ไปจากบริเวณที่ฉีด ทำให้ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่แพทย์วางไว้
- หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดด และความร้อนใน 48 ชั่วโมงหรือ 2 วันแรก ขอแนะนำว่ายังไม่ควรตากแดดร้อนจัด
เพราะอาจทำให้เกิดรอยแดงได้
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือดงดทานยาหรือวิตามินที่ทำให้เลือดออก
เช่น แอสไพริน Vitamin E, ใบแป๊ะก๊วย หลีกเลี่ยงการใช้สารที่มีส่วนผสมของ BHA,AHA และ Retinoid 2 สัปดาห์ภายใน 2 สัปดาห์แรก
- ควรหลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่นบริเวณที่เติม เลี่ยงการออกกำลังกาย งดเข้าอบไอน้ำ อบซาวน่า ทำเลเซอร์ ทำ RF หรือ Ionto เพราะความร้อนเฉพาะจุดเป็นเวลานานอาจส่งผลต่อฟิลเลอร์ได้ใน 2 สัปดาห์แรก ความร้อนที่สามารถโดนได้คือ ไดร์เป่าผม และแสงแดดที่ไม่แรงจ้าเกินไปได้ หลังจาก 2 สัปดาห์ขึ้นไปก็สามารถใช้ชีวิตได้ปกติตามเดิมค่า
- ดื่มน้ำมาก ๆ ฟิลเลอร์คือสารไฮยาลูลอนิคซึ่งมีฤทธิ์ในการอุ้มน้ำได้ดี หลังจากฉีดฟิลเลอร์ในช่วง 4 – 5 วันแรก แพทย์จึงแนะนำให้ดื่มน้ำให้อย่างน้อยวันละ 8 – 10 แก้ว หรือประมาณ 2 ลิตรต่อวันเพื่อผลลัพธ์ที่ดีและคงทน เพราะการดื่มน้ำมาก ๆ จะช่วยให้ฟิลเลอร์ที่เป็นสารอุ้มน้ำมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นและทำให้บริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ดูเต็มเป็นธรรมชาติ
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ ในปัจจุบันมีคลินิกมากมายที่ให้บริการฉีดฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มและลดริ้วรอย ดังนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่คนไข้ต้องศึกษาข้อมูลของคลินิกแต่ละที่ให้ดี รวมถึงแพทย์ผู้ที่ทำการรักษาว่าน่าเชื่อถือหรือไม่ อีกทั้งยังต้องตรวจสอบผลิตภัณฑ์ของฟิลเลอร์ว่าเป็นของแท้ได้มาตรฐานหรือไม่ ซึ่งหากไม่ได้ตรงตามสิ่งที่กล่าวมาในขั้นต้นก็อาจจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
Cr.pobpad.com
Oct 29, 2022 | การเสริมความงาม
5 เคล็ด [ไม่] ลับ ฉบับดูแลผิวหน้าในช่วงฤดูหนาวนี้..!!
❄️ ดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ เพื่อชดเชยน้ำหล่อเลี้ยงผิวที่สูญเสียไปจากแสงแดด และลมหนาว รวมไปถึงจากน้ำอุ่นที่เพิ่งอาบไป
❄️ อาบน้ำอุ่น สลับ น้ำเย็น หลังจากอาบน้ำอุ่นแล้ว ให้ชโลมตัวด้วยน้ำเย็นปิดท้าย วิธีนี้นอกจากจะทำให้คุณรู้สึกอบอุ่นหลังการอาบน้ำมากกว่าปกติแล้ว ยังเป็นการช่วยปิดรูขุมขน ป้องกันการสูญเสียน้ำหล่อเลี้ยงผิวในช่วงฤดูหนาวได้อีกด้วย
❄️ ทาครีมกันแดด ทั้งผิวหน้า , ลำคอ และส่วนแขนขาที่อาจจะสัมผัสกับแสงแดด เพราะแสงแดดในฤดูหนาว ก็แรงไม่แพ้แสงแดดฤดูร้อนเลยค่ะ
❄️ บำรุงผิวด้วยมอยซ์เจอร์ไรเซอร์ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว จะช่วยให้ผิวของคุณไม่แห้ง ไม่แตกเป็นขุย
❄️ ข้อนี้เป็นข้อสำคัญมาก ควรพักผ่อนให้เพียงพอ หากพักผ่อนไม่เพียงพอ ร่างกายของคุณอาจจะอ่อนเพลีย และรู้สึกเหมือนขาดน้ำ ผิวกายหยาบ แห้งกร้าน
ข้อแนะนำต่อไปนี้จะเป็นตัวช่วยให้คุณได้สัมผัสผิวพรรณที่นุ่มนวลแลดูสุขภาพดีในแบบธรรมชาติด้วยวิธีใกล้ตัว
❄️ 1. เลือกอาหารช่วยต้านแสงแดด นอกจากการทาครีมกันแดดป้องกันแล้วคุณควรเสริมด้วยอาหารที่มีสารไลโคปีน เบต้าแคโรทีน และกรดอะมิโน ซึ่งพบมากในมะเขือเทศและฟักข้าว ที่มีสรรพคุณช่วยป้องกันผิวไหม้จากแสงแดด ทำให้ผิวพรรณชุ่มชื่น และชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย
❄️ 2. ลดความเครียด เพราะผลที่ตามมาคือมีผิวมันเกิดสิวทั่วใบหน้าและส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย มากไปกว่านั้นอาจกลายผื่นแดงมีอาการคันและเสี่ยงต่อการติดเชื้ออื่น ๆ ได้ง่าย ดังนั้นจึงควรพยายามมองโลกในแง่บวก ทำจิตใจให้แจ่มใส และหาวิธีคลายเครียด เช่น การออกกำลังกาย การนั่งสมาธิ ฝึกลมหายใจ เป็นต้น ที่สำคัญคือ พักผ่อนให้เพียงพอ
❄️ 3. หาเวลางีบหากคุณเป็นคนหนึ่งที่นอนไม่พอ การงีบหลับก็เป็นทางลัดให้ผิวได้ฟื้นฟูเช่นกัน เพียงคุณใช้เวลางีบหลับประมาณ 20 นาทีก็เป็นเวลาเพียงพอให้ร่างกายได้สร้างเซลล์ผิวใหม่เพื่อทดแทนเซลล์เก่าช่วยให้ผิวดูเต่งตึงเปล่งปลั่งมากขึ้น
❄️ 4. ดื่มน้ำก่อนนอนสร้างผิวสวยนอกจากน้ำสะอาดบริสุทธิ์แล้วการลองหาโยเกิร์ต นมเปรี้ยว (แนะนำเป็นสูตรไขมันต่ำ) หรือน้ำพรุนสกัดก่อนนอน จะช่วยให้คุณมีการขับถ่ายที่ดีในยามเช้าเสมือนเป็นการขับของเสียออกจากร่างกาย ซึ่งส่งผลให้ผิวหน้าและผิวกายดูเปล่งปลั่งสดชื่น
❄️ 5.หัวเราะบ่อย ๆ ส่งผลดี การหัวเราะนั้นมีประสิทธิภาพพอ ๆ กับการออกกำลังกาย ทันทีที่คุณหัวเราะกล้ามเนื้อบนใบหน้าและทั่วร่างกายจะยืดตัว ชีพจรกับความดันโลหิตจะเพิ่มขึ้น ซึ่งช่วยลำเลียงออกซิเจนไปยังเนื้อเยื่อต่าง ๆ ช่วยสร้างความแข็งแรงให้กับทุกส่วนของร่างกาย ตั้งแต่สมอง ระบบไหลเวียนเลือด ระบบย่อย ระบบภูมิคุ้มกัน หรือแม้กระทั่งผิวพรรณที่ทำให้ใบหน้าได้เคลื่อนไหว มีความยืดหยุ่น ไม่ตึงหรือเกร็ง ประกอบกับทำให้เราได้ความผ่อนคลายความเครียดด้วย
แหล่งอ้างอิง https://www.phyathai.com/article_detail/3413/th/5_%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%94(%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88)%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A_%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A7
Oct 21, 2022 | การเสริมความงาม
ประโยชน์ของการเติมวิตามินผิว มีอะไรบ้าง
ฉีดวิตามินผิวดีไหม? ช่วยให้ผิวกระจ่างใส ดูขาวขึ้นจริงหรือ? ในปัจจุบันการฉีดวิตามินบำรุงผิวพรรณให้ดูสดใส กำลังเป็นที่นิยมขึ้นอย่างมากทั้งคนที่อยากมีผิวขาวกระจ่างใส ดูสุขภาพดี และช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน หลายคนจึงเลือกวิธีที่เห็นผลเร็ว คือ ทำให้ผิวขาวใสด้วยการ “ฉีดวิตามินซี” ซึ่งเชื่อว่าให้ผลค่อนข้างชัดเจน สามารถเปลี่ยนความคล้ำเสียของผิวให้กลับมาขาวใสเรียบเนียนได้ในระยะเวลาอันสั้น
ดังนั้นก่อนจะตัดสินใจทำหัตถการดังกล่าว เราควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อที่จะได้ทราบว่าการฉีดวิตามินผิวนั้นมีอันตรายอะไรหรือไม่? ฉีดแล้วผิวจะดีขึ้นจริงไหม? มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง? ต้องทำกี่ครั้งจึงจะเห็นผล? เรามีคำตอบให้ในบทความนี้ค่ะ
- ช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ให้ร่างกายแข็งแรง
- ปกป้องผิว มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความเสื่อมโทรมของสภาพผิว ให้ผิวดูอ่อนเยาว์
- เพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกาย ลดอาการล้า อ่อนเพลีย
- ช่วยให้ผิวเปล่งปลั่ง กระจ่างใส เนียนนุ่ม แบบมีออร่า ฟื้นฟูผิวให้ชุ่มชื่นดูมีชีวิตชีวาอีกครั้ง
- ป้องกันอาการเป็นหวัด สมานแผลให้หายไวยิ่งขึ้น
- ช่วยล้างสารพิษต่าง ๆ ในร่างกาย หรือสิ่งสกปรกตกค้างในหลอดเลือด
- ช่วยเร่งระบบเผาพลาญไขมัน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักแบบเร่งด่วน
ฉีดวิตามินผิวใส อันตรายไหม?
การฉีดวิตามินผิว อันตรายไหม? ในความเป็นจริงแล้วการฉีดวิตามินผิวใสไม่อันตราย เนื่องจากตัวยาที่ฉีดเป็นสารสกัดจากธรรมชาติ และเป็นวิตามินที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย สิ่งที่ต้องระวังเป็นอย่างมากสำหรับคนที่อยากฉีดเติมวิตามินให้ผิวขาวใส ก็คือ อันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการไปฉีดวิตามินผิวที่ไม่ได้มาตรฐาน
หลังฉีดวิตามินผิวใส กี่วันเห็นผล?
โดยปกติแล้วหลังฉีดวิตามินผิวใส จะเริ่มเห็นผลประมาณ 3 วันหลังฉีด และจะเห็นผลเต็มที่ประมาณ 7-14 วัน หากต้องการให้ผลการรักษามีประสิทธิภาพในช่วงเดือนแรกควรฉีดทุกสัปดาห์ หลังจากนั้นฉีดทุกๆ 2 สัปดาห์เพื่อคงสภาพ
ฉีดวิตามินผิว มีผลข้างเคียงไหม?
ฉีดวิตามินผิว มีผลข้างเคียงไหม? จริงๆ ไม่มีผลข้างเคียงที่อันตราย ถ้าใช้ตัวยาที่ได้มาตรฐาน ผ่าน อย. ส่วนผลข้างเคียงที่เจอได้จะเป็นรอยเข็มที่เกิดจากการฉีด ซึ่งรอยเหล่านี้สามารถหายไปได้เองภายใน 1-3 วัน ดังนั้นคนไข้ไม่ต้องกังวล
- หลังฉีดวิตามินผิว ควรปฏิบัติตัวอย่างไรเพื่อให้ผลลัพธ์อยู่ได้นาน?
- พยายามเลี่ยงแสงแดด หากจำเป็นต้องออกแดดบ่อยๆ ควรทาครีมกันแดดที่มี SPF 50 ขึ้นไป
- เลี่ยงการนวดผิวบริเวณที่ทำทันที ไม่ควรเช็ดถูหรือเกาบริเวณที่ฉีด
- หากเกิดรอยแดง ช้ำ จากรอยเข็มบริเวณที่ฉีด สามารถประคบเย็นได้ตามคำแนะนำของแพทย์
- ควรดื่มน้ำสะอาดในปริมาณมากๆ เพราะจะช่วยบำรุงผิวใสจากภายใน ดีท็อกซ์สารพิษออกจากร่างกาย
- หากอาการบวมแดงเกิดขึ้นมากกว่า 1-2 วัน ควรติดต่อแพทย์เพื่อให้วินิจฉัยเบื้องต้นและรักษาตามอาการ
Cr.Phayathai
Oct 11, 2022 | การเสริมความงาม
เรามาทำความรู้จักกับโบท็อกซ์ไปพร้อม ๆ กันค่ะ
อย่างแรก เราต้องรู้ก่อนว่า โบท็อกซ์ คืออะไร?
“โบท็อกซ์” เป็นชื่อทางการค้าของสาร “โบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ” (Botulinum toxin A) ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่สร้างจากเชื้อแบคทีเรีย
ข้อควรปฏิบัติหลังจากการฉีดโบท็อกซ์
1. ไม่ควรนอนราบ ในช่วง 3-4 ชั่วโมงหลังการรักษา
2. ห้ามนวดในบริเวณที่ทำการรักษาอาจทำให้ยากระจายไปยังบริเวณอื่น
3. พบแพทย์ตามนัดเพื่อประเมินผลการรักษา เมื่อพบความผิดปกติใดเควรแจ้งให้แพทย์ทราบ
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้
อาการปวดศีรษะหรือความรู้สึกเจ็บๆคันๆ พบรอยช้ำจากการที่เข็มฉีดยา มักเกิดบริเวณหางตา
อาการปวดบวมบริเวณที่ฉีด กล้ามเนื้ออ่อนแรงเฉพาะที่ผลข้างเคียงมักหายไปเองใน 1-2 สัปดาห์
เราสามารถรักษาด้วยโบทูลินั่ม ท็อกซินต่อเนื่องได้นานแค่ไหน และมีข้อจำกัดยังไง
เราสามารถรับการรักษาด้วยโบทูลินั่ม ท็อกซินได้ตามความต้องการของเรา โดยทั่วไปมักทำการรักษาซ้ำทุก 3-6 เดือนหรือนานกว่านี้ ขึ้นกับการทำงานของกล้ามเนื้อที่ต้องการรักษา
โบทูลินั่ม ท็อกซินไม่ใช่แค่ช่วยด้านความงาม
1. ภาวะความผิดปกติที่เกิดจากการทำงานมากเกินของกล้ามเนื้อ เช่น ตาเข ,หนังตากระตุก ,กล้ามเนื้อคอเกร็งตัว
2. การปวดศีรษะแบบไมเกรน หรือ การปวดศีรษะจากความเครียด
3. ภาวะกล้ามเนื้อหลังอักเสบเรื้อรัง (Myofascial pain)
4. ภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ (Hyperhidrosis)
ห้ามฉีดโบทูลินั่ม ท็อกซิน ถ้าคุณ…
1. มีความผิดปกติทางกล้ามเนื้อและระบบประสาท
2. กำลังตั้งครรภ์ / อยู่ในระหว่างให้นมบุตร
แหล่งอ้างอิง https://www.si.mahidol.ac.th/th/healthdetail.asp?aid=1022
อ.พญ.ศศิมา เอี่ยมพันธุ์
ผศ.พญ.รังสิมา วณิชภักดีเดชา
รศ.นพ.วรพงษ์ มนัสเกียรติ
ศูนย์เลเซอร์ผิวหนังและศัลยกรรมผิวหนัง
ภาควิชาตจวิทยา
Faculty of Medicine Siriraj Hospital
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
Sep 17, 2022 | การเสริมความงาม
บมความ Botulinum Toxin ตัวช่วยยอดฮิตในยุคที่ไม่มีใครอยากแก่
ตัวช่วยชะลอวัยที่เราได้ยินกันบ่อยขึ้น ในยุคนี้ที่คนหันมาดูแลตัวเอง ไม่ยอมแก่ก่อนวัย ก็คือ โบทูลินัม ท็อกซิน (Botulinum Toxin) มีทั้งหมด 7 ชนิด แต่ชนิดที่ใช้ในด้านความงาม คือ โบทูลินัม ท็อกซิน ชนิด เอ ซึ่งมีกลไกการทำงาน คือ เจ้าโบทูลินัม ท็อกซินนี้จะเข้าไปจับที่ปลายประสาท ยับยั้งการหลั่งสาร Acetylcholine เพื่อไม่ให้สามารถหลั่งสารสื่อประสาทมาที่กล้ามเนื้อได้ ซึ่ง Acetylcholine ตัวนี้จะทำให้กล้ามเนื้อบีบเกร็งตัว การบีบรัดตัวที่มากนี้เป็นสาเหตุของริ้วรอยเหี่ยวย่น ดังนั้นโบทูลินัม ท็อกซินจึงทำให้กล้ามเนื้อเกิดการคลายตัว สามารถลดริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้าและริ้วรอยที่เกิดจากกล้ามเนื้อบีบตัวได้ ริ้วรอยที่เกิดขึ้นก็จะหายไป
ตำแหน่งที่นิยมทำการฉีดโบทูลินัม ท็อกซิน
การใช้โบทูลินัม ท็อกซินเพื่อทำการรักษาริ้วรอย ได้แก่ รอยตีนกา รอยที่เกิดจากการขมวดคิ้ว (รอยหว่างคิ้ว) รอยย่นบริเวณหน้าผาก รอยเหี่ยวย่นบริเวณคอ
การใช้โบทูลินัม ท็อกซินเพื่อปรับรูปทรงของใบหน้าโดยอาศัยการทำงานของโบทูลินัม ท็อกซินที่ทำให้กล้ามเนื้อขยับได้น้อยลง กล้ามเนื้อกรามจึงมีขนาดที่เล็กลง นั่นคือ สามารถเปลี่ยนรูปทรงของใบหน้าที่มีลักษณะสี่เหลี่ยมหรือขนาดที่ใหญ่ให้กลายเป็นใบหน้ารูปทรงตัววี (V-shape) ได้
การใช้โบทูลินัม ท็อกซินเพื่อช่วยลดปริมาณเหงื่อและกลิ่นตัวที่ร่างกายผลิตออกมาตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ เช่น ใต้รักแร้ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า เป็นต้น โดยโบทูลินัม ท็อกซินจะเข้าไปยับยั้งการทำงานของต่อมเหงื่อ ยับยั้งการหลั่งสารสื่อประสาทของเส้นใยประสาทที่ทำหน้าที่ในการสั่งงานให้ต่อมเหงื่อทำการหลั่งเหงื่อออกมาก ซึ่งการฉีดโบทูลินัม ท็อกซินเพียงครั้งเดียวจะสามารถยังยั้งการทำงานของต่อมเหงื่อได้ประมาณ 1 ปี
การใช้โบทูลินัม ท็อกซินเพื่อยกกระชับใบหน้าที่เรียกว่า เมโสโบท๊อกซ์ (Mesobotox) หรือ เดอร์โมลิฟท์ (Dermolifting) คือการฉีดโบทูลินัม ท็อกซินลงในชั้นผิวหนังชั้นหนังแท้ จะทำให้เกิดฤทธิ์ของ dermotoxin ทำให้ผิวหนังหดตัว และยกกระชับขึ้นและยังช่วยให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวเพิ่มขึ้นอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม เมื่อต้องการที่จะฉีดโบทูลินัม ท็อกซิน การประเมินก่อนการฉีด การให้ความรู้และวิธีปฏิบัติตัวก่อนและหลังฉีดมีความสำคัญ ดังนั้นความเชี่ยวชาญและประสบการของแพทย์ที่ทำการฉีดให้จึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะถ้าฉีดในตำแหน่งที่เหมาะสมและปริมาณที่พอเหมาะจะมีความปลอดภัยสูง และช่วยลดเลือนริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ แลดูเป็นธรรมชาติไม่แข็งเกร็งจนเกินไป สามารถแสดงสีหน้าได้ตามปกติ แต่ถ้าฉีดในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสมหรือปริมาณที่มากหรือน้อยเกินไป จะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์หลังฉีด หรืออาจเกิดอาการแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น คิ้วตก คอห้อย มุมปากเบี้ยว เป็นต้น
โบท็อกซ์ ฉีดตรงไหนได้บ้าง? กี่วันถึงจะเห็นผลลัพธ์
ฉีดโบท็อกซ์ มีแบบไหน ฉีดตรงไหนได้บ้างให้หน้าเป๊ะ!
เรื่องความสวยความงานในปัจจุบันมีหลากหลายวิธีที่ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจ โดยเฉพาะการฉีดโบท็อกซ์ (Botox) หรือ Botulinum toxin A อีกหนึ่งวิธียอดนิยม นวัตกรรมเพื่อลดริ้วรอยและปรับรูปใบหน้า สำหรับผลิตภัณฑ์เสริมความงามที่ได้รับความนิยมอย่าง โบท็อกซ์ถือเป็นสารที่สกัดได้จากคลอสตริเดียม โบทูลินั่ม (Clostridium botulinum) เป็นโปรตีนที่สกัดได้จากแบคทีเรีย ที่ควรใช้ในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดนั้นมีการคลายตัว ปัจจุบันมีการนำโบท็อกซ์มาใช้ทั้งวงการแพทย์และวงการเสริมความงามกันมากยิ่งขึ้น
สำหรับการฉีดโบท็อกซ์ ถือเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างมากในวงการเสริมความงามเพราะช่วยให้ริ้วรอยต่างๆ บนใบหน้าลดลง หรือช่วยให้ผิวบริเวณที่ฉีดมีความกระชับได้มากยิ่งขึ้น โดยส่วนใหญ่ฉีดโบท็อกซ์เพื่อลบรอยตีนกา กระชับรูปหน้า กระชับผิวหนัง ที่สามารถเห็นผลได้รวดเร็ว
โบท็อกซ์ที่นิยมนำมาใช้ในการเสริมความงามมีแบบไหนบ้าง
ประเภทของโบท็อกซ์ที่ได้รับความนิยม และสถาบันเสริมความงามส่วนใหญ่นิยมใช้มี 2 ประเภทคือ
-American Toxin โบท็อกซ์จากประเทศอเมริกา โบท็อกซ์ที่เป็นที่นิยมอย่างมากสำหรับสาวๆ และสถาบันเสริมความงามเพราะ Botulinum toxin A เป็นสารที่ปลอดภัย เมื่อใช้ตามคำแนะนำของแพทย์
-Korean Toxin (Neuronox) โบท็อกซ์จากประเทศเกาหลีใต้ ที่ได้รับความนิยม จะมีราคาที่ถูกกว่าของอเมริกา
-โบท็อกซ์อังกฤษ (Dysport) โบท็อกซ์จากอังกฤษจะมีจุดเด่นที่เมื่อทำการฉีดแล้วจะมีการกระจายของตัวยาได้ทั่วถึง โดยต้องใช้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญและใช้ความระมัดระวังในการฉีด
-โบท็อกซ์เยอรมัน (Xeomin) โบท็อกซ์ที่ให้ผลค่อนข้างเป็นธรรมชาติตัวยาไม่กระจุกจนเกินไปและมีความบริสุทธิ์ของตัวยาที่สูง
โบท็อกซ์ ฉีดตรงไหนได้บ้าง?
-หน้าผาก
บริเวณหน้าผากจะมีรอยย่น ที่เกิดจาก การยักคิ้ว การขมวดคิ้ว เกิดเป็นเส้นรอยย่นที่ชัดเจนบริเวณหน้าผาก การฉีดโบท็อกซ์จึงเป็นการฉีดเพื่อแก้ไขปัญหารอยย่นพร้อมเป็นจุดที่ฉีดแล้วสามารถอยู่ได้นานกว่าจุดอื่น
-หางคิ้ว
บริเวณหางคิ้วถือเป็นอีกจุดที่หลายคนนิยมฉีดโบท็อกซ์กันเป็นอย่างมาก เนื่องจากหลายคนพบปัญหาหางคิ้วตก ฉีดโบท็อกซ์ซ์บริเวณหางคิ้วจะช่วยให้หางคิ้วยกเชิดขึ้น
-รอบดวงตา และบริเวณตีนกา
ริ้วรอยรอบดวงตาและหางตาปัญหากวนใจของใครหลายๆ คน ซึ่งการฉีดโบท็อกซ์จะช่วยให้รอยย่นเหล่านี้หายไป และใช้ยาในปริมาณที่ไม่มาก แต่ก็สามารถกลับมาเกิดการย่นได้เช่นเดิมเพราะเป็นส่วนที่บอบบางอีกทั้งคนเรามีกจะมีการยิ้มและหัวเราะอยู่เป็นประจำ
-โหนกแก้ม
หลายคนพบเจอกับปัญหาที่บริเวณโหนกแก้มที่มีขนาดใหญ่จนสามารถเห็นได้ชัด ฉะนั้นการฉีดโบท็อกซ์ถือเป็นตัวช่วยที่ทำให้บริเวณโหนกแก้มมีขนาดเล็กลง
-ปีกจมูก
บางคนมีรูปทรงจมูกความสวย มีความโด่งอยู่แล้ว แต่มักพบปัญหาบริเวณปีกจมูกที่อาจมีความใหญ่หรือไม่เข้ากับรูปหน้า การฉีดโบท็อกซ์จะช่วยลดการทำงานของปีกจมูกทำให้ดูเล็กลงและได้รูปทรงมากยิ่งขึ้น
-กรามและบริเวณกรอบหน้า
นี่ถือเป็นจุดยอมนิยมในการฉีดโบท็อกซ์ เพราะช่วยปรับรูปหน้า ลดกราม ทำให้ใบหน้าของเรามีความเรียวสวยและเข้ารูปมากยิ่งขึ้น รวมถึงช่วยเสริมโครงหน้าให้มีมิติ ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้ประเมินปริมาณของยา และบริเวณที่ต้องฉีดของแต่ละคน
การฉีดโบท็อกซ์ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในการเสริมความงามที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน อีกทั้งสามารถฉีดได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ฉีดโบท็อกซ์ กี่วันเห็นผล? โดยส่วนใหญ่แล้วหลังการฉีด ริ้วรอยเริ่มตึงขึ้นภายใน 3-4 วัน และเต็มที่คือ 7-14 วัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เห็นผลลัพธ์ของการฉีดโบท็อกซ์ได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น และอีกหนึ่งคำถามที่หลายคนสงสัย คือ ฉีดโบท็อกซ์แล้วอยู่ได้นานแค่ไหน คำตอบคือฉีดโบท็อกซ์แล้วสามารถอยู่ได้นานประมาณ 6-8 เดือน แต่สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองหลังฉีดโบท็อกซ์
แหล่งอ้างอิง : https://www.samitivejchinatown.com/th/health-article/Botulinum-Toxin