fbpx
ผิวแห้ง และปัญหาผิวแห้ง…ดูแลอย่างไร?

ผิวแห้ง และปัญหาผิวแห้ง…ดูแลอย่างไร?

ผิวแห้งกร้านเกิดจากอะไร
ปัจจัยภายนอก (External Cause)
สภาพอากาศและสิ่งแวดล้อม แสงแดด รังสียูวี
การดื่มน้ำไม่เพียงพอ อุณหภูมิ จะเกิดได้ง่ายในช่วงเวลาที่มีอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำ ความชื้นในอากาศน้อย ส่งผลทำให้เกิดผิวมีความแห้งได้ เช่น เวลาไปต่างประเทศอุณหภูมิติดลบ จะมีปัญหาผิวแตกแห้งง่าย หรือสาวๆ ที่นั่งทำงานอยู่แต่ในออฟฟิศ นั่งอยู่ในห้องแอร์นานๆ ก็ทำให้ผิวแตกได้เช่นกัน
การอาบน้ำด้วยน้ำร้อนจัด การใช้ผลิตภัณฑ์หรือสารทำความสะอาดผิวที่รุนแรงไปก็จะไปทำลายน้ำมันที่มีอยู่ตามธรรมชาติในชั้นผิว

ปัจจัยภายใน (Internal Cause)
– ปัจจัยภายในร่างกาย ได้แก่ ฮอร์โมน กรรมพันธุ์ อายุ โรคประจำตัว สุขภาพ เช่น หากมีประวัติเป็นผื่นแพ้ผิวหนังตั้งแต่เด็ก หรือคนที่มีภาวะการทำงานของฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำกว่าปกติ หรือเป็นโรคเบาหวานก็มักจะพบว่ามีผิวแตกง่าย

การดูแลอย่างนั้นเราจะดูแลอย่างไร
– พยายามหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้ผิวขาดความชุ่มชื่น เช่น การล้างหน้าหรืออาบน้ำร้อนจัด การใช้สบู่หรือสารทำความสะอาดที่รุนแรงเกินไป
– หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่หนาวจัด หรือร้อนจัดจนเกินไป
– หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางหรือสารที่อาจทำอันตรายต่อชั้นผิว
– ไม่ควรขัดผิวหน้าบ่อยจนเกินไป
– เติมความชุ่มชื้นเป็นพิเศษ โดยปกติเมื่ออายุเพิ่มขึ้น ผิวจะผลิตน้ำมันได้น้อยลง ทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้น จึงควรเตรียมความพร้อมรับมือปัญหาด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าที่มีมอยเจอร์ไรเซอร์เข้มข้น
– เลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ช่วยเต็มเติมความชุ่มชื้นอย่างสม่ำเสมอ โดยการเลือกครีมที่ใช้ ควรเป็นครีมที่เน้นให้ความชุ่มชื้น ไม่ผสมน้ำหอมหรือสารเคมีที่อาจทำให้ผิวมีการระคายเคือง เช่น Paraben, Alcohol เป็นต้น
– การดื่มน้ำสะอาดในปริมาณที่พอเหมาะก็จะช่วยบรรเทาปัญหาผิวแตกแห้งได้ด้วย
– บริโภคอาหารที่มีสารอาหารหลายชนิดซึ่งช่วยให้ผิวแข็งแรง ยกตัวอย่างเช่น วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี แร่ธาตุสังกะสี เป็นต้น

Cr.aquaplus

ฉีดฟิลเลอร์อย่างไรให้ปลอดภัย

ฉีดฟิลเลอร์อย่างไรให้ปลอดภัย

ฉีดฟิลเลอร์อย่างไรให้ปลอดภัย

การฉีดฟิลเลอร์มีข้อจำกัดอะไรบ้าง
ข้อจำกัดของการฉีดฟิลเลอร์นั้นเหมือนกับการทำศัลยกรรม เช่น ต้องมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง มีวุฒิภาวะเพียงพอ สามารถปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ได้อย่างเคร่งครัด อย่างไรก็ตาม ฟิลเลอร์ย่อมไม่สามารถฉีดให้ได้ตามความต้องการของคนไข้ทุกคน หากแพทย์ประเมินแล้วว่าคนไข้นั้นมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังการฉีดได้

ภาวะใดบ้างไม่ควรฉีดฟิลเลอร์

  1. ผิวหนังที่ติดเชื้อหรือมีอาการอักเสบ เป็นลมพิษ โดยควรทำการรักษาอาการให้หายขาดก่อน
  2. ผู้ที่มีปัญหาเลือดออกมาก
  3. ผู้ที่มีอาการแพ้อย่างรุนแรง
  4. ผู้ที่มีอาการแพ้สารประเภทคอลลาเจน ไข่ หรือผลิตภัณฑ์จากสัตว์

ข้อควรปฏิบัติหลังฉีดฟิลเลอร์

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ห้ามนวด กด รวมถึงการสัมผัสแรงๆในบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์
    เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์ที่ฉีดเข้าไปเคลื่อนที่ไปจากบริเวณที่ฉีด ทำให้ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่แพทย์วางไว้
  • หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดด และความร้อนใน 48 ชั่วโมงหรือ 2 วันแรก ขอแนะนำว่ายังไม่ควรตากแดดร้อนจัด
    เพราะอาจทำให้เกิดรอยแดงได้
  •  หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือดงดทานยาหรือวิตามินที่ทำให้เลือดออก
    เช่น แอสไพริน Vitamin E, ใบแป๊ะก๊วย หลีกเลี่ยงการใช้สารที่มีส่วนผสมของ BHA,AHA และ Retinoid 2 สัปดาห์ภายใน 2 สัปดาห์แรก
  • ควรหลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่นบริเวณที่เติม เลี่ยงการออกกำลังกาย งดเข้าอบไอน้ำ อบซาวน่า ทำเลเซอร์ ทำ RF หรือ Ionto เพราะความร้อนเฉพาะจุดเป็นเวลานานอาจส่งผลต่อฟิลเลอร์ได้ใน 2 สัปดาห์แรก ความร้อนที่สามารถโดนได้คือ ไดร์เป่าผม และแสงแดดที่ไม่แรงจ้าเกินไปได้ หลังจาก 2 สัปดาห์ขึ้นไปก็สามารถใช้ชีวิตได้ปกติตามเดิมค่า
  • ดื่มน้ำมาก ๆ ฟิลเลอร์คือสารไฮยาลูลอนิคซึ่งมีฤทธิ์ในการอุ้มน้ำได้ดี หลังจากฉีดฟิลเลอร์ในช่วง 4 – 5 วันแรก แพทย์จึงแนะนำให้ดื่มน้ำให้อย่างน้อยวันละ 8 – 10 แก้ว หรือประมาณ 2 ลิตรต่อวันเพื่อผลลัพธ์ที่ดีและคงทน เพราะการดื่มน้ำมาก ๆ จะช่วยให้ฟิลเลอร์ที่เป็นสารอุ้มน้ำมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นและทำให้บริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ดูเต็มเป็นธรรมชาติ
  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ ในปัจจุบันมีคลินิกมากมายที่ให้บริการฉีดฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มและลดริ้วรอย ดังนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่คนไข้ต้องศึกษาข้อมูลของคลินิกแต่ละที่ให้ดี รวมถึงแพทย์ผู้ที่ทำการรักษาว่าน่าเชื่อถือหรือไม่ อีกทั้งยังต้องตรวจสอบผลิตภัณฑ์ของฟิลเลอร์ว่าเป็นของแท้ได้มาตรฐานหรือไม่ ซึ่งหากไม่ได้ตรงตามสิ่งที่กล่าวมาในขั้นต้นก็อาจจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

Cr.pobpad.com

5 เคล็ด [ไม่] ลับ ฉบับดูแลผิวหน้าในช่วงฤดูหนาวนี้

5 เคล็ด [ไม่] ลับ ฉบับดูแลผิวหน้าในช่วงฤดูหนาวนี้

5 เคล็ด [ไม่] ลับ ฉบับดูแลผิวหน้าในช่วงฤดูหนาวนี้..!!

❄️ ดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ เพื่อชดเชยน้ำหล่อเลี้ยงผิวที่สูญเสียไปจากแสงแดด และลมหนาว รวมไปถึงจากน้ำอุ่นที่เพิ่งอาบไป

❄️ อาบน้ำอุ่น สลับ น้ำเย็น หลังจากอาบน้ำอุ่นแล้ว ให้ชโลมตัวด้วยน้ำเย็นปิดท้าย วิธีนี้นอกจากจะทำให้คุณรู้สึกอบอุ่นหลังการอาบน้ำมากกว่าปกติแล้ว ยังเป็นการช่วยปิดรูขุมขน ป้องกันการสูญเสียน้ำหล่อเลี้ยงผิวในช่วงฤดูหนาวได้อีกด้วย

❄️ ทาครีมกันแดด ทั้งผิวหน้า , ลำคอ และส่วนแขนขาที่อาจจะสัมผัสกับแสงแดด เพราะแสงแดดในฤดูหนาว ก็แรงไม่แพ้แสงแดดฤดูร้อนเลยค่ะ

❄️ บำรุงผิวด้วยมอยซ์เจอร์ไรเซอร์ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว จะช่วยให้ผิวของคุณไม่แห้ง ไม่แตกเป็นขุย

❄️ ข้อนี้เป็นข้อสำคัญมาก ควรพักผ่อนให้เพียงพอ หากพักผ่อนไม่เพียงพอ ร่างกายของคุณอาจจะอ่อนเพลีย และรู้สึกเหมือนขาดน้ำ ผิวกายหยาบ แห้งกร้าน

ข้อแนะนำต่อไปนี้จะเป็นตัวช่วยให้คุณได้สัมผัสผิวพรรณที่นุ่มนวลแลดูสุขภาพดีในแบบธรรมชาติด้วยวิธีใกล้ตัว
❄️ 1. เลือกอาหารช่วยต้านแสงแดด นอกจากการทาครีมกันแดดป้องกันแล้วคุณควรเสริมด้วยอาหารที่มีสารไลโคปีน เบต้าแคโรทีน และกรดอะมิโน ซึ่งพบมากในมะเขือเทศและฟักข้าว ที่มีสรรพคุณช่วยป้องกันผิวไหม้จากแสงแดด ทำให้ผิวพรรณชุ่มชื่น และชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย

❄️ 2. ลดความเครียด เพราะผลที่ตามมาคือมีผิวมันเกิดสิวทั่วใบหน้าและส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย มากไปกว่านั้นอาจกลายผื่นแดงมีอาการคันและเสี่ยงต่อการติดเชื้ออื่น ๆ ได้ง่าย ดังนั้นจึงควรพยายามมองโลกในแง่บวก ทำจิตใจให้แจ่มใส และหาวิธีคลายเครียด เช่น การออกกำลังกาย การนั่งสมาธิ ฝึกลมหายใจ เป็นต้น ที่สำคัญคือ พักผ่อนให้เพียงพอ

❄️ 3. หาเวลางีบหากคุณเป็นคนหนึ่งที่นอนไม่พอ การงีบหลับก็เป็นทางลัดให้ผิวได้ฟื้นฟูเช่นกัน เพียงคุณใช้เวลางีบหลับประมาณ 20 นาทีก็เป็นเวลาเพียงพอให้ร่างกายได้สร้างเซลล์ผิวใหม่เพื่อทดแทนเซลล์เก่าช่วยให้ผิวดูเต่งตึงเปล่งปลั่งมากขึ้น

❄️ 4. ดื่มน้ำก่อนนอนสร้างผิวสวยนอกจากน้ำสะอาดบริสุทธิ์แล้วการลองหาโยเกิร์ต นมเปรี้ยว (แนะนำเป็นสูตรไขมันต่ำ) หรือน้ำพรุนสกัดก่อนนอน จะช่วยให้คุณมีการขับถ่ายที่ดีในยามเช้าเสมือนเป็นการขับของเสียออกจากร่างกาย ซึ่งส่งผลให้ผิวหน้าและผิวกายดูเปล่งปลั่งสดชื่น

❄️ 5.หัวเราะบ่อย ๆ ส่งผลดี การหัวเราะนั้นมีประสิทธิภาพพอ ๆ กับการออกกำลังกาย ทันทีที่คุณหัวเราะกล้ามเนื้อบนใบหน้าและทั่วร่างกายจะยืดตัว ชีพจรกับความดันโลหิตจะเพิ่มขึ้น ซึ่งช่วยลำเลียงออกซิเจนไปยังเนื้อเยื่อต่าง ๆ ช่วยสร้างความแข็งแรงให้กับทุกส่วนของร่างกาย ตั้งแต่สมอง ระบบไหลเวียนเลือด ระบบย่อย ระบบภูมิคุ้มกัน หรือแม้กระทั่งผิวพรรณที่ทำให้ใบหน้าได้เคลื่อนไหว มีความยืดหยุ่น ไม่ตึงหรือเกร็ง ประกอบกับทำให้เราได้ความผ่อนคลายความเครียดด้วย

แหล่งอ้างอิง https://www.phyathai.com/article_detail/3413/th/5_%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%94(%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88)%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A_%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A7

ประโยชน์ของการเติมวิตามินผิว

ประโยชน์ของการเติมวิตามินผิว

ประโยชน์ของการเติมวิตามินผิว มีอะไรบ้าง

ฉีดวิตามินผิวดีไหม? ช่วยให้ผิวกระจ่างใส ดูขาวขึ้นจริงหรือ? ในปัจจุบันการฉีดวิตามินบำรุงผิวพรรณให้ดูสดใส กำลังเป็นที่นิยมขึ้นอย่างมากทั้งคนที่อยากมีผิวขาวกระจ่างใส ดูสุขภาพดี และช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน หลายคนจึงเลือกวิธีที่เห็นผลเร็ว คือ ทำให้ผิวขาวใสด้วยการ “ฉีดวิตามินซี” ซึ่งเชื่อว่าให้ผลค่อนข้างชัดเจน สามารถเปลี่ยนความคล้ำเสียของผิวให้กลับมาขาวใสเรียบเนียนได้ในระยะเวลาอันสั้น
ดังนั้นก่อนจะตัดสินใจทำหัตถการดังกล่าว เราควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อที่จะได้ทราบว่าการฉีดวิตามินผิวนั้นมีอันตรายอะไรหรือไม่? ฉีดแล้วผิวจะดีขึ้นจริงไหม? มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง? ต้องทำกี่ครั้งจึงจะเห็นผล? เรามีคำตอบให้ในบทความนี้ค่ะ

  • ช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ให้ร่างกายแข็งแรง
  • ปกป้องผิว มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความเสื่อมโทรมของสภาพผิว ให้ผิวดูอ่อนเยาว์
  • เพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกาย ลดอาการล้า อ่อนเพลีย
  • ช่วยให้ผิวเปล่งปลั่ง กระจ่างใส เนียนนุ่ม แบบมีออร่า ฟื้นฟูผิวให้ชุ่มชื่นดูมีชีวิตชีวาอีกครั้ง
  • ป้องกันอาการเป็นหวัด สมานแผลให้หายไวยิ่งขึ้น
  • ช่วยล้างสารพิษต่าง ๆ ในร่างกาย หรือสิ่งสกปรกตกค้างในหลอดเลือด
  • ช่วยเร่งระบบเผาพลาญไขมัน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักแบบเร่งด่วน

ฉีดวิตามินผิวใส อันตรายไหม?
การฉีดวิตามินผิว อันตรายไหม? ในความเป็นจริงแล้วการฉีดวิตามินผิวใสไม่อันตราย เนื่องจากตัวยาที่ฉีดเป็นสารสกัดจากธรรมชาติ และเป็นวิตามินที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย สิ่งที่ต้องระวังเป็นอย่างมากสำหรับคนที่อยากฉีดเติมวิตามินให้ผิวขาวใส ก็คือ อันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการไปฉีดวิตามินผิวที่ไม่ได้มาตรฐาน

หลังฉีดวิตามินผิวใส กี่วันเห็นผล?
โดยปกติแล้วหลังฉีดวิตามินผิวใส จะเริ่มเห็นผลประมาณ 3 วันหลังฉีด และจะเห็นผลเต็มที่ประมาณ 7-14 วัน หากต้องการให้ผลการรักษามีประสิทธิภาพในช่วงเดือนแรกควรฉีดทุกสัปดาห์ หลังจากนั้นฉีดทุกๆ 2 สัปดาห์เพื่อคงสภาพ

ฉีดวิตามินผิว มีผลข้างเคียงไหม?
ฉีดวิตามินผิว มีผลข้างเคียงไหม? จริงๆ ไม่มีผลข้างเคียงที่อันตราย ถ้าใช้ตัวยาที่ได้มาตรฐาน ผ่าน อย. ส่วนผลข้างเคียงที่เจอได้จะเป็นรอยเข็มที่เกิดจากการฉีด ซึ่งรอยเหล่านี้สามารถหายไปได้เองภายใน 1-3 วัน ดังนั้นคนไข้ไม่ต้องกังวล

  • หลังฉีดวิตามินผิว ควรปฏิบัติตัวอย่างไรเพื่อให้ผลลัพธ์อยู่ได้นาน?
  • พยายามเลี่ยงแสงแดด หากจำเป็นต้องออกแดดบ่อยๆ ควรทาครีมกันแดดที่มี SPF 50 ขึ้นไป
  • เลี่ยงการนวดผิวบริเวณที่ทำทันที ไม่ควรเช็ดถูหรือเกาบริเวณที่ฉีด
  • หากเกิดรอยแดง ช้ำ จากรอยเข็มบริเวณที่ฉีด สามารถประคบเย็นได้ตามคำแนะนำของแพทย์
  • ควรดื่มน้ำสะอาดในปริมาณมากๆ เพราะจะช่วยบำรุงผิวใสจากภายใน ดีท็อกซ์สารพิษออกจากร่างกาย
  • หากอาการบวมแดงเกิดขึ้นมากกว่า 1-2 วัน ควรติดต่อแพทย์เพื่อให้วินิจฉัยเบื้องต้นและรักษาตามอาการ

Cr.Phayathai

ข้อควรปฏิบัติหลังฉีด Botox

ข้อควรปฏิบัติหลังฉีด Botox

เรามาทำความรู้จักกับโบท็อกซ์ไปพร้อม ๆ กันค่ะ
อย่างแรก เราต้องรู้ก่อนว่า โบท็อกซ์ คืออะไร?
“โบท็อกซ์” เป็นชื่อทางการค้าของสาร “โบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ” (Botulinum toxin A) ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่สร้างจากเชื้อแบคทีเรีย
ข้อควรปฏิบัติหลังจากการฉีดโบท็อกซ์
1. ไม่ควรนอนราบ ในช่วง 3-4 ชั่วโมงหลังการรักษา
2. ห้ามนวดในบริเวณที่ทำการรักษาอาจทำให้ยากระจายไปยังบริเวณอื่น
3. พบแพทย์ตามนัดเพื่อประเมินผลการรักษา เมื่อพบความผิดปกติใดเควรแจ้งให้แพทย์ทราบ
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้
อาการปวดศีรษะหรือความรู้สึกเจ็บๆคันๆ พบรอยช้ำจากการที่เข็มฉีดยา มักเกิดบริเวณหางตา
อาการปวดบวมบริเวณที่ฉีด กล้ามเนื้ออ่อนแรงเฉพาะที่ผลข้างเคียงมักหายไปเองใน 1-2 สัปดาห์

เราสามารถรักษาด้วยโบทูลินั่ม ท็อกซินต่อเนื่องได้นานแค่ไหน และมีข้อจำกัดยังไง
เราสามารถรับการรักษาด้วยโบทูลินั่ม ท็อกซินได้ตามความต้องการของเรา โดยทั่วไปมักทำการรักษาซ้ำทุก 3-6 เดือนหรือนานกว่านี้ ขึ้นกับการทำงานของกล้ามเนื้อที่ต้องการรักษา

โบทูลินั่ม ท็อกซินไม่ใช่แค่ช่วยด้านความงาม
1. ภาวะความผิดปกติที่เกิดจากการทำงานมากเกินของกล้ามเนื้อ เช่น ตาเข ,หนังตากระตุก ,กล้ามเนื้อคอเกร็งตัว
2. การปวดศีรษะแบบไมเกรน หรือ การปวดศีรษะจากความเครียด
3. ภาวะกล้ามเนื้อหลังอักเสบเรื้อรัง (Myofascial pain)
4. ภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ (Hyperhidrosis)

ห้ามฉีดโบทูลินั่ม ท็อกซิน ถ้าคุณ…
1. มีความผิดปกติทางกล้ามเนื้อและระบบประสาท
2. กำลังตั้งครรภ์ / อยู่ในระหว่างให้นมบุตร

แหล่งอ้างอิง https://www.si.mahidol.ac.th/th/healthdetail.asp?aid=1022
อ.พญ.ศศิมา เอี่ยมพันธุ์
ผศ.พญ.รังสิมา วณิชภักดีเดชา
รศ.นพ.วรพงษ์ มนัสเกียรติ
ศูนย์เลเซอร์ผิวหนังและศัลยกรรมผิวหนัง
ภาควิชาตจวิทยา
Faculty of Medicine Siriraj Hospital
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

Botulinum Toxin ตัวช่วยยอดฮิตในยุคที่ไม่มีใครอยากแก่

Botulinum Toxin ตัวช่วยยอดฮิตในยุคที่ไม่มีใครอยากแก่

บมความ Botulinum Toxin ตัวช่วยยอดฮิตในยุคที่ไม่มีใครอยากแก่
ตัวช่วยชะลอวัยที่เราได้ยินกันบ่อยขึ้น ในยุคนี้ที่คนหันมาดูแลตัวเอง ไม่ยอมแก่ก่อนวัย ก็คือ โบทูลินัม ท็อกซิน (Botulinum Toxin) มีทั้งหมด 7 ชนิด แต่ชนิดที่ใช้ในด้านความงาม คือ โบทูลินัม ท็อกซิน ชนิด เอ ซึ่งมีกลไกการทำงาน คือ เจ้าโบทูลินัม ท็อกซินนี้จะเข้าไปจับที่ปลายประสาท ยับยั้งการหลั่งสาร Acetylcholine เพื่อไม่ให้สามารถหลั่งสารสื่อประสาทมาที่กล้ามเนื้อได้ ซึ่ง Acetylcholine ตัวนี้จะทำให้กล้ามเนื้อบีบเกร็งตัว การบีบรัดตัวที่มากนี้เป็นสาเหตุของริ้วรอยเหี่ยวย่น ดังนั้นโบทูลินัม ท็อกซินจึงทำให้กล้ามเนื้อเกิดการคลายตัว สามารถลดริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้าและริ้วรอยที่เกิดจากกล้ามเนื้อบีบตัวได้ ริ้วรอยที่เกิดขึ้นก็จะหายไป

 

ตำแหน่งที่นิยมทำการฉีดโบทูลินัม ท็อกซิน

การใช้โบทูลินัม ท็อกซินเพื่อทำการรักษาริ้วรอย ได้แก่ รอยตีนกา รอยที่เกิดจากการขมวดคิ้ว (รอยหว่างคิ้ว) รอยย่นบริเวณหน้าผาก รอยเหี่ยวย่นบริเวณคอ
การใช้โบทูลินัม ท็อกซินเพื่อปรับรูปทรงของใบหน้าโดยอาศัยการทำงานของโบทูลินัม ท็อกซินที่ทำให้กล้ามเนื้อขยับได้น้อยลง กล้ามเนื้อกรามจึงมีขนาดที่เล็กลง นั่นคือ สามารถเปลี่ยนรูปทรงของใบหน้าที่มีลักษณะสี่เหลี่ยมหรือขนาดที่ใหญ่ให้กลายเป็นใบหน้ารูปทรงตัววี (V-shape) ได้
การใช้โบทูลินัม ท็อกซินเพื่อช่วยลดปริมาณเหงื่อและกลิ่นตัวที่ร่างกายผลิตออกมาตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ เช่น ใต้รักแร้ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า เป็นต้น โดยโบทูลินัม ท็อกซินจะเข้าไปยับยั้งการทำงานของต่อมเหงื่อ ยับยั้งการหลั่งสารสื่อประสาทของเส้นใยประสาทที่ทำหน้าที่ในการสั่งงานให้ต่อมเหงื่อทำการหลั่งเหงื่อออกมาก ซึ่งการฉีดโบทูลินัม ท็อกซินเพียงครั้งเดียวจะสามารถยังยั้งการทำงานของต่อมเหงื่อได้ประมาณ 1 ปี
การใช้โบทูลินัม ท็อกซินเพื่อยกกระชับใบหน้าที่เรียกว่า เมโสโบท๊อกซ์ (Mesobotox) หรือ เดอร์โมลิฟท์ (Dermolifting) คือการฉีดโบทูลินัม ท็อกซินลงในชั้นผิวหนังชั้นหนังแท้ จะทำให้เกิดฤทธิ์ของ dermotoxin ทำให้ผิวหนังหดตัว และยกกระชับขึ้นและยังช่วยให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวเพิ่มขึ้นอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม เมื่อต้องการที่จะฉีดโบทูลินัม ท็อกซิน การประเมินก่อนการฉีด การให้ความรู้และวิธีปฏิบัติตัวก่อนและหลังฉีดมีความสำคัญ ดังนั้นความเชี่ยวชาญและประสบการของแพทย์ที่ทำการฉีดให้จึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะถ้าฉีดในตำแหน่งที่เหมาะสมและปริมาณที่พอเหมาะจะมีความปลอดภัยสูง และช่วยลดเลือนริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ แลดูเป็นธรรมชาติไม่แข็งเกร็งจนเกินไป สามารถแสดงสีหน้าได้ตามปกติ แต่ถ้าฉีดในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสมหรือปริมาณที่มากหรือน้อยเกินไป จะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์หลังฉีด หรืออาจเกิดอาการแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น คิ้วตก คอห้อย มุมปากเบี้ยว เป็นต้น

โบท็อกซ์ ฉีดตรงไหนได้บ้าง? กี่วันถึงจะเห็นผลลัพธ์
ฉีดโบท็อกซ์ มีแบบไหน ฉีดตรงไหนได้บ้างให้หน้าเป๊ะ!
เรื่องความสวยความงานในปัจจุบันมีหลากหลายวิธีที่ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจ โดยเฉพาะการฉีดโบท็อกซ์ (Botox) หรือ Botulinum toxin A อีกหนึ่งวิธียอดนิยม นวัตกรรมเพื่อลดริ้วรอยและปรับรูปใบหน้า สำหรับผลิตภัณฑ์เสริมความงามที่ได้รับความนิยมอย่าง โบท็อกซ์ถือเป็นสารที่สกัดได้จากคลอสตริเดียม โบทูลินั่ม (Clostridium botulinum) เป็นโปรตีนที่สกัดได้จากแบคทีเรีย ที่ควรใช้ในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดนั้นมีการคลายตัว ปัจจุบันมีการนำโบท็อกซ์มาใช้ทั้งวงการแพทย์และวงการเสริมความงามกันมากยิ่งขึ้น

สำหรับการฉีดโบท็อกซ์ ถือเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างมากในวงการเสริมความงามเพราะช่วยให้ริ้วรอยต่างๆ บนใบหน้าลดลง หรือช่วยให้ผิวบริเวณที่ฉีดมีความกระชับได้มากยิ่งขึ้น โดยส่วนใหญ่ฉีดโบท็อกซ์เพื่อลบรอยตีนกา กระชับรูปหน้า กระชับผิวหนัง ที่สามารถเห็นผลได้รวดเร็ว

 

โบท็อกซ์ที่นิยมนำมาใช้ในการเสริมความงามมีแบบไหนบ้าง
ประเภทของโบท็อกซ์ที่ได้รับความนิยม และสถาบันเสริมความงามส่วนใหญ่นิยมใช้มี 2 ประเภทคือ
-American Toxin โบท็อกซ์จากประเทศอเมริกา โบท็อกซ์ที่เป็นที่นิยมอย่างมากสำหรับสาวๆ และสถาบันเสริมความงามเพราะ Botulinum toxin A เป็นสารที่ปลอดภัย เมื่อใช้ตามคำแนะนำของแพทย์
-Korean Toxin (Neuronox) โบท็อกซ์จากประเทศเกาหลีใต้ ที่ได้รับความนิยม จะมีราคาที่ถูกกว่าของอเมริกา
-โบท็อกซ์อังกฤษ (Dysport) โบท็อกซ์จากอังกฤษจะมีจุดเด่นที่เมื่อทำการฉีดแล้วจะมีการกระจายของตัวยาได้ทั่วถึง โดยต้องใช้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญและใช้ความระมัดระวังในการฉีด
-โบท็อกซ์เยอรมัน (Xeomin) โบท็อกซ์ที่ให้ผลค่อนข้างเป็นธรรมชาติตัวยาไม่กระจุกจนเกินไปและมีความบริสุทธิ์ของตัวยาที่สูง

โบท็อกซ์ ฉีดตรงไหนได้บ้าง?
-หน้าผาก

บริเวณหน้าผากจะมีรอยย่น ที่เกิดจาก การยักคิ้ว การขมวดคิ้ว เกิดเป็นเส้นรอยย่นที่ชัดเจนบริเวณหน้าผาก การฉีดโบท็อกซ์จึงเป็นการฉีดเพื่อแก้ไขปัญหารอยย่นพร้อมเป็นจุดที่ฉีดแล้วสามารถอยู่ได้นานกว่าจุดอื่น

-หางคิ้ว

บริเวณหางคิ้วถือเป็นอีกจุดที่หลายคนนิยมฉีดโบท็อกซ์กันเป็นอย่างมาก เนื่องจากหลายคนพบปัญหาหางคิ้วตก ฉีดโบท็อกซ์ซ์บริเวณหางคิ้วจะช่วยให้หางคิ้วยกเชิดขึ้น

-รอบดวงตา และบริเวณตีนกา

ริ้วรอยรอบดวงตาและหางตาปัญหากวนใจของใครหลายๆ คน ซึ่งการฉีดโบท็อกซ์จะช่วยให้รอยย่นเหล่านี้หายไป และใช้ยาในปริมาณที่ไม่มาก แต่ก็สามารถกลับมาเกิดการย่นได้เช่นเดิมเพราะเป็นส่วนที่บอบบางอีกทั้งคนเรามีกจะมีการยิ้มและหัวเราะอยู่เป็นประจำ

-โหนกแก้ม

หลายคนพบเจอกับปัญหาที่บริเวณโหนกแก้มที่มีขนาดใหญ่จนสามารถเห็นได้ชัด ฉะนั้นการฉีดโบท็อกซ์ถือเป็นตัวช่วยที่ทำให้บริเวณโหนกแก้มมีขนาดเล็กลง

-ปีกจมูก

บางคนมีรูปทรงจมูกความสวย มีความโด่งอยู่แล้ว แต่มักพบปัญหาบริเวณปีกจมูกที่อาจมีความใหญ่หรือไม่เข้ากับรูปหน้า การฉีดโบท็อกซ์จะช่วยลดการทำงานของปีกจมูกทำให้ดูเล็กลงและได้รูปทรงมากยิ่งขึ้น

-กรามและบริเวณกรอบหน้า

นี่ถือเป็นจุดยอมนิยมในการฉีดโบท็อกซ์ เพราะช่วยปรับรูปหน้า ลดกราม ทำให้ใบหน้าของเรามีความเรียวสวยและเข้ารูปมากยิ่งขึ้น รวมถึงช่วยเสริมโครงหน้าให้มีมิติ ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้ประเมินปริมาณของยา และบริเวณที่ต้องฉีดของแต่ละคน

การฉีดโบท็อกซ์ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในการเสริมความงามที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน อีกทั้งสามารถฉีดได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ฉีดโบท็อกซ์ กี่วันเห็นผล? โดยส่วนใหญ่แล้วหลังการฉีด ริ้วรอยเริ่มตึงขึ้นภายใน 3-4 วัน และเต็มที่คือ 7-14 วัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เห็นผลลัพธ์ของการฉีดโบท็อกซ์ได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น และอีกหนึ่งคำถามที่หลายคนสงสัย คือ ฉีดโบท็อกซ์แล้วอยู่ได้นานแค่ไหน คำตอบคือฉีดโบท็อกซ์แล้วสามารถอยู่ได้นานประมาณ 6-8 เดือน แต่สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองหลังฉีดโบท็อกซ์

แหล่งอ้างอิง : https://www.samitivejchinatown.com/th/health-article/Botulinum-Toxin